วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Photography




ก่อนหน้าที่จะมี “ภาพถ่าย” เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 มีกล้องประเภทต่างๆ ที่ทำหน้าที่ฉายภาพออกมา เช่น กล้องรูเข็ม camera obscura และ camera lucida ซึ่งภาพที่ได้จากกล้องเหล่านี้เป็นเพียงภาพที่ฉายออกมาเท่านั้น

Daguerreotype
Louis Daguerre จิตรกรและศิลปินภาพพิมพ์ได้เริ่มต้นมาค้นหาวิธีที่จะจับภาพที่เขาเห็นจากกล้องคาเมร่า ออบสคูร่าให้อยู่ในรูปของวัตถุที่จับต้องได้ ในปี 1829 เขาเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกับ Nicéphore Niépce เพื่อหาทางสร้างภาพที่คงทนถาวรโดยใช้แสงและกระบวนการทางเคมี ดาแกร์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับภาพขึ้นมาอย่างหนึ่งเรียกว่า daguerreotype ในปี 1839

ดาแกร์ประกาศผลการค้นคว้าต่อ Académie des Sciences และ Académie des Beaux-Arts รัฐบาลฝรั่งเศสซื้อลิขสิทธิ์จากดาแกร์ และได้ประกาศให้กระบวนการสร้างดาแกร์โรไทพ์เป็นของสาธารณะ ผู้ใดจะนำไปใช้ก็ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดสตูดิโอถ่ายภาพดาแกร์โรไทป์จำนวนมาก โดยกลุ่มลูกค้าเป็นชนชั้นกลางที่มาถ่าย "ภาพเหมือน" (portrait)
ในขณะที่พอร์เทรทเป็นหัวข้อที่นิยมมากของช่างภาพดาแกร์โรไทป์ ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักเดินทางและนักโบราณคดีก็ใช้ดาแกร์โรไทป์ในการทำงานเช่นกัน จิตรกรบางคนใช้ดาแกร์โรไทป์ช่วยในการเขียนแบบ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ก็เล็งเห็นศักยภาพของสื่อใหม่นี้ พวกเขาติดกล้องเข้ากับกล้องเทเลสโคปและไมโครสโคปเพื่อบันทึกภาพสิ่งที่เขาส่องดู นักเดินทางก็บันทึกภาพดินแดนที่ห่างไกลกลับมาให้ชาวปารีสได้มีโอกาสเห็น
ดาแกร์โรไทป์เสื่อมความนิยมลงไปใน 1850s จากการเข้ามาของภาพถ่ายที่อัดลงบนแผ่นกระดาษ (paper photograph) และภายใน 1860s ภาพถ่ายก็เป็นที่นิยมจนการผลิตขึ้นถึงระดับอุตสาหกรรม มีการแปรรูปออกไปเป็นโปรดัครูปแบบต่างๆ เช่น อัลบั้ม, การ์ดที่ระลึกที่มี 8 โพสต์ เป็นต้น
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับดาแกร์โรไทป์และภาพถ่าย
1. นวัตกรรมกรรมใหม่ของการสร้างภาพ (image) ที่มีลักษณะเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ (ด้วยกระบวนการทางเคมี) น่าสังเกตว่า ดาแกร์ไม่ได้ประกาศผลการค้นคว้าของเขาต่อโลกศิลปะเท่านั้น แต่ต่อโลกวิทยาศาสตร์ด้วย
2. ภาพเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถไปจ้างจิตรกรมาเขียนภาพเหมือนของจนได้
3. ประเด็นความเหมือน (likeness) แบบที่ภาพถ่ายเสนอทำให้เกิดการนิยมในสื่อชนิดใหม่นี้ต่อประเด็น "ความจริง" ในงานศิลปะ / ภาพถ่าย

ภาพประกอบ
André-Adolphe-Eugène Disdéri, Prince Lobkowitz, 1858, Albumen silver print from glass negative

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

International Exposition


มหกรรมนานาชาติ (International Exposition, World Exposition, World's Fair)


มหกรรมนานาชาติเริ่มมีการจัดขึ้นเมื่อ 1851 ในอังกฤษ เมื่อชาวอังกฤษเชิญนานาชาติมาจัดแสดงผลผลิตของประเทศตัวเองที่คริสตัล พาเลซในลอนดอน จากนั้นก็เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นกันอย่างแพร่หลายทั่วไปในยุโรปและอเมริกา


เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจของชาติต่างๆ ในช่วงเวลานั้น (บริบทของการล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19) จะเห็นได้ว่า มหกรรมนานาชาติที่จัดแสดงเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในโลก (ไม่เฉพาะวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ แต่รวมถึงตัวคนด้วย) ได้ระเบียบโลกอย่างใหม่ (new world order) และสำนึกเกี่ยวกับโลกที่มีตะวันตกเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากตะวันตกมีอำนาจมากกว่า (ในฐานะเจ้าอาณานิคม) “คนอื่น” ก็นอกจากจะแตกต่างออกไปแล้ว ยังด้อยกว่าด้วย


ความเหนือกว่าของตะวันตกและระเบียบโลกอย่างใหม่นี้แสดงออกอย่างเป็นกายภาพผ่านมหกรรมนานาชาติ โครงสร้างของมหกรรมนานาชาติได้จำลองเอาโครงสร้างอำนาจของอาณานิคมด้วย มันคือโลกย่อส่วนที่มีส่วนช่วยทำให้ “ความเป็นอื่น” ของ “คนอื่น” เป็นที่รับรู้ได้มากขึ้น กล่าวคือ ไม่เป็นนามธรรมลอยๆ แต่มองเห็นได้ จับต้องได้ เดินชมได้ เสพได้ เป็นโชว์เคสของการล่าอาณานิคมมหกรรมนานาชาติแสดงความเหนือกว่าของเจ้าอาณานิคมและตัวอาณานิคม มันมีมิติเชิงมานุษยวิทยา ส่วนต่างๆ ของโลกได้รับการสร้างขึ้นใหม่ภายในโครงสร้างของมหกรรม (= จำลองระเบียบโลกอย่างใหม่) มีการนำชนพื้นเมืองมาเป็นพันๆ คนมาอยู่ในหมู่บ้านจำลอง แสดงวิถีชีวิตประจำวันไป นั่นคือ แสดงวิธีชีวิตจริง ให้เป็นโชว์ เช่น Cairo Street ในมหกรรมนานาชาติที่ชิคาโกปี 1893 (World's Columbian Exposition)


Ethnographic category

ลักษณะตามเผ่าพันธุ์, ภาษา, กิริยาท่าทางและขนบธรรมเนียม, ระบบศีลธรรม, อาหาร, การรักษาโรค, เกษตรกรรม, การประมง, การล่าสัตว์, การค้า, ศิลปะและหัตถกรรม, อาวุธและการสงคราม, พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต (การเกิด, การเปลี่ยนวัย (initiation rite), การแต่งงาน, งานศพ), ดนตรี, เพลงและการเต้นรำ, ศาสนาและความเชื่อลึกลับ (magic), ตำนาน, เรื่องพื้นบ้าน และการจัดการทางสังคม


สิ่งเหล่านี้บอกอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (cultural identity) ซึ่งถูกนับให้เป็นอัตลักษณ์ของชาติ (national identity)


หัวข้อเกี่ยวข้อง: Orientalism
ภาพประกอบ Cairo Street, World's Columbian Exposition, Chicago, 1893

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Realism


Realism เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะและวรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่แพร่หลายอยู่ในฝรั่งเศสในช่วง 1840 - 1880 เป้าหมายสำคัญของศิลปินเรียลลิสท์คือ การให้ภาพ / นำเสนอความเป็นจริง (reality) อย่างเป็นภววิสัย (objective) มีความเป็นกลาง และตรงไปตรงมาโดยปราศจากการปรุงแต่งให้สวยงาม


พวกเรียลลิสท์ได้อิทธิพลจากแนวคิด Positivism ซึ่งเชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง / ข้อเท็จจริง (fact) และกฎเกณฑ์ที่จะตัดสินว่าอะไรคือความจริง (reality) นั้น ได้มาจากการเฝ้าสังเกตอย่างถี่ถ้วน (empirical observation) เช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์


ความที่พวกเรียลลิสท์เชื่อในข้อเท็จจริงที่สังเกตรับรู้ได้ มีประสบการณ์ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นนี้เองที่ทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับปัจจุบัน (contemporaneity: สิ่งที่เกิดขึ้น/ดำเนินอยู่ในช่วงเวลานั้น) พวกเขาจึงไม่เขียนภาพอดีตหรืออนาคต แต่เป็นภาพสังคมร่วมสมัย


สำหรับพวกเรียลลิสท์ การไม่ปรุงแต่งให้สวยงาม คือ

1.) การหลุดพ้นจากอคติทางการมองที่ได้รับจากการศึกษา หรือการฝึกฝนทางศิลปะ เพื่อไปสู่สิ่งที่ Castagnary เรียกว่า naïveté of vision

2. ) การแสดงความจริงใจ (sincerity) ต่อเนื้อหา


นอกจากนี้ ศิลปินเรียลลิสท์ยังเปิดไปสู่เนื้อหาที่กว้างขวางออกไปจากเดิม พวกเขาเขียนภาพชนชั้นล่าง (กรรมกร คนงาน ชาวนา ฯลฯ) จึงทำให้งานเรียลลิสท์มีมิติเชิงสังคมมากกว่าศิลปะรูปแบบอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า พวกเรียลลิสท์มองว่า การแสดงภาพชนชั้นล่างก็มีคุณค่าเท่าเทียมกับการเขียนภาพเจ้าชาย (และน่าสนใจกว่าด้วย)



ภาพประกอบ
Courbet, The Stone Breakers, 1849





ร า ย ง า น

โครงสร้างของรายงานที่จะต้องส่งภายในวันที่ 2 สค. ต้องการองค์ประกอบดังนี้

ชื่อรายงาน
หัวข้อรายงาน: เกริ่นที่มาและความสำคัญ อธิบายว่าอยากทำเรื่องอะไร มีประเด็นอะไร ทำไปเพื่ออะไร (สงสัยอยากรู้เรื่อง... อยากเสนอว่า... สันนิษฐานว่า... หรือตั้งคำถาม/วิพากษ์....) ประมาณ 4-6 บรรทัด

main reseach question: คำถามหลักของตัวรายงาน เพื่อไปตอบโจทก์ในส่วนที่ระบุอยู่ในหัวข้อ

sub-questions (ถ้ามี): ประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ (ถ้ามี) แต่ไม่แนะนำให้มี เดี๋ยวจะเยอะเกินไปสำหรับรายงาน 6-8 หน้า เอาแค่ main question พอแล้ว

รายชื่อบรรณานุกรม



ตัวอย่าง
ชื่อรายงาน: ความจริงในจิตรกรรมเรียลลิสท์

หัวข้อรายงาน: ในขณะที่จิตรกรเรียลลิสท์อ้างว่าผลงานของพวกเขานำเสนอความจริง (reality) "ตามที่ตาเห็น" จากข้อเท็จจริง (fact) ผลงานหลายชิ้นกลับไม่เป็นไปตามนั้น เช่น ใน Burial at Ornans ฉากหลังปรากฏกางเขนที่มีพระคริสต์ถูกตรึงอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจุดยืนของพวกเรียลลิสท์ที่บอกว่า จะเขียนเฉพาะภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน และอ้างอิงเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นแล้ว งานชิ้นนี้มีความขัดแย้งกับหลักการของเรียลลิสท์อย่างมาก รายงานชิ้นนี้ต้องการวิพากษ์วาทกรรมของพวกเรียลลิสท์ผ่านการวิเคราะห์จุดขัดแย้งเหล่านี้

main research question: "ความจริง" ในจิตรกรรมเรียลลิสท์เป็นอย่างไรกันแน่

บรรณานุกรม