วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Orientalism




* เนื่องจากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุขัดข้อง ทำให้สอนไม่จบ จึงขอใส่เนื้อหาที่ละเอียดลงในนี้ แต่โดยปกติแล้ว บล๊อคนี้จะมีแค่ไอเดียหลักๆ ของศิลปะแต่ละรูปแบบเท่านั้น โปรดเข้าใจด้วยว่า มันจะไม่มีแบบนี้สำหรับสัปดาห์อื่นๆ


Orientalist = anyone who teaches, talks about, researches the Orient. What he or she does is Orientalism.

Orient = the East, Asia อย่างไรก็ตาม ในบริบทที่เราพูดถึงกันนี้ จำกัดอยู่ที่ Near East / Middle East



Orientalism
Edward Said นักวิชาการชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเขียนหนังสือ Orientalism ขึ้นเมื่อปี 1978 หนังสือของซาอิดได้วิพากษ์กระบวนการผลิตสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับตะวันออก ตลอดจนความรับรู้เกี่ยวกับตะวันออกของชาวตะวันตก(Orientalism)ว่าเป็นวาทกรรมตัวหนึ่งที่ไม่แยกขาดจากการล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Orientalism จึงเป็นมายาคติที่แฝงอคติทางชาติพันธุ์ และเกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นอื่น (other) ที่ทั้งอันตรายและน่าหลงใหลไปพร้อมๆ กัน

"The Orient was almost a European invention, and had been since antiquity a place of romance, exotics being, haunting memories and landscape, remarkable experiences."

The Orient is not only adjacent of Europe; it is also the place of Europe’s greatest and richest and oldest colonies, the source of its civilizations and languages, its cultural contestant, and one of its deepest and most recurring images of the Other. In addition, the Orient has helped to define Europe (or the West) as its contrasting image, idea, personality, experience. Yet none of this Orient is merely imaginative. The Orient is an integral part of European material civilization and culture. Orientalism expresses and represents that part culturally and even ideologically as a mode of discourse with supporting institutions, vocabulary, scholarship, imagery, doctrines, even colonial bureaucracies and colonial styles.


ซาอิดได้ย้ำมุมมองนี้ในงานเขียนอีกชิ้น "Cultura, identidad e historia" Letra international, N 48, 1997, p. 4-13

“The East became a synonym of the exotic, feminine and mysterious, of the profound and seminal, in the works of Goethe, Victor Hugo, Lamartine, Nerval, Disraeli, Delacroix, Flaubert, Friedrich Schlegel and dozens and dozens of authors. By orientalizing even more the Orient and the oriental, a deep abyss opened between the would-be cultural identities of the West and East and, at the same time an awareness of one’s own cultural identity was strengthened, its essence extracted to the point that it made the East, with its prodigious despotism, sensuality and fertility, into the Other par excellent. Whether the writer or the musician was inspired by Egypt (Verdi’s Aida) or India (Delibe’s Lakmé), by Japan (Madame Butterfly) or the North of Africa (Flaubert’s Salammbô), there were always thinking of that fabulous East that fulfilled the function of safeguarding Europe’s identity as an observer, appraiser, ruler and judge of the East.”


อาจสรุปอย่างรวบรัดได้ว่า Orientalism เป็นวาทกรรมของ / ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยโลกทัศน์แบบชาวตะวันตก เกี่ยวกับตัวตนของตะวันออก และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับความเป็นตะวันออก ด้้วยความเกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในช่วงล่าอาณานิคม (ซึ่งมีมาก่อนศตวรรษที่ 19 แล้ว) Orientalism จึงแสดงทัศนคติของชาวตะวันตกที่มองตัวเองสูงกว่าชาติอื่นๆ (aka ตะวันออก) เพื่อให้ความชอบธรรมแก่การเข้าครอบครอง และ/หรือ เปลี่ยนแปลงดินแดนอื่น Orientalism จึงไม่ใช่องค์ความรู้ หรือหัวข้อการศึกษาที่เป็นอิสระจากประเด็นเชิงการเมือง

ในแง่นี้ ตะวันออกเป็นสิ่งประดิษฐ์สร้าง The Orient was created
(ในทางกลับกัน ตะวันตก ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเช่นกัน การพูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ตะวันออก และตะวันตก ไม่มีอยู่จริง แต่ต้องการให้เห็นว่า มันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเป็นแค่นามธรรมเท่านั้น แต่มีความเป็นวัตถุที่จับต้องได้อยู่ด้วย)

Orientalism เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นผ่าน narrative ประเภทต่างๆ ทั้งงานเขียนเชิงวิชาการ สารคดี บทกวี นิยาย ภาพถ่าย รวมทั้งศิลปะด้วย ศิลปะจึงไม่ได้เพียงแค่ "สะท้อน" ทัศนคติแบบ Orientalist แต่ "เป็นส่วนหนึ่ง" ของการก่อสร้างตัวตนของวาทกรรมดังกล่าวนี้ พิเศษขึ้นไปอีกคือ ศิลปะ “ให้ภาพ” (visualize)

อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือ Orientalism ของซาอิดจะไม่ได้กล่าวถึงงานศิลปะโดยตรง แต่ข้อวิจารณ์ของซาอิดต่อวรรณกรรมโอเรียนทอลลิสท์ ก็สามารถใช้กับศิลปะได้เช่นกัน

Orientalism ในฐานะ "a mode for defining the presumed cultural inferiority of the Islamic Orient… part of the vast control mechanism of colonialism, designed to justify and perpetuate European dominance"

ต่อไปนี้จะยกตัวอย่างจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ฝรั่งเศสที่แสดงทัศนคติที่ว่า

Jean-Léon Gérôme, The Snake Charmer, late 1860s

นักประวัติศาสตร์ศิลปะ Linda Nochlin ได้วิจารณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นการประมวลภาพอุดมการณ์แบบอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Nochlin เสนอว่าชื่องานควรจะเป็น The Snake Charmer and his Audience แทนที่จะเป็น The Snake Charmer เท่านั้น เพราะเราถูกกำหนดให้มองทั้งตัวผู้แสดงและผู้ชมที่อยู่ในภาพ เรา-ผู้ชมจริงๆ นอกภาพ- ไม่ได้รับเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ชมในภาพ แต่เป็นผู้มองพวกเขาอีกที ในภาพ เรามองเห็นกลุ่มผู้ชมการแสดงกระจุกตัวกันอยู่หน้ากำแพงที่เต็มไปด้วยลวดลายของกระเบื้องแบบตะวันออก ทั้งหมดในภาพ คือทั้งผู้แสดง และกลุ่มผู้ชมการแสดงเหล่านั้นแปลกแยกจากเรา (ผู้ชมจริงๆ) ทั้งหมดเป็นวัตถุ เป็นภาพเพื่อการจ้องมองของเรา

สิ่งต่างๆ ทั้งหมดในภาพให้ความรู้สึกถึงความลี้ลับ ซึ่งความรู้สึกลึกลับนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยกลยุทธ์ของตัวภาพเองด้วย จิตรกรเลือกที่จะสร้างความลึกลับนี้ด้วยการให้เรามองเห็นแต่ด้านหลังของเด็กผู้ชายที่กำลังแสดงกับงูอยู่เท่านั้น เราไม่ได้เห็นทั้งหมด ไม่ได้เห็นในแบบที่ผู้ชม (ในภาพ)ที่หันหน้ามาทางเราได้เห็น เราไม่ได้เห็นความชัดเจนของเครื่องเพศ ซึ่งจะชี้ชัดลงไปว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย (แม้เราจะ "อนุมาน" ได้จากด้านหลัง)และเราก็ไม่ได้เห็นความน่ากลัวของการแสดงงู “ทั้งหมด” ความลี้ลับในภาพนี้เองที่ signify ความลี้ลับของตะวันออก เป็นความลี้ลับของ ตอ ในอุดมการณ์ของ Orientalism

Nochlin ได้วิเคราะห์ต่อไปว่า มีสิ่งที่ขาดหายไป 4 ประการในภาพ ซึ่งได้สนับสนุนแนวคิดของซาอิดว่า Orientalism (ตลอดจน Orientalist painting) เป็นวาทกรรมของชาวตะวันตก ที่อยากจะเห็น และ/หรือ เชื่อว่า ตะวันออกเป็นในแบบๆ หนึ่งที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่เปิดโอกาสให้ความเป็นจริงในรูปแบบอื่นได้มีโอกาสแสดงตัว (ตะวันออกในแบบที่่ว่าเป็นอย่างไร ดู quote ที่ 1 ด้านบน)

1. ประวัติศาสตร์
Nochlin กล่าวว่า ไม่มี "เวลา" ในภาพของ Gérôme จิตรกรแนะว่าโลกตะวันออกไม่มีการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมล้วนไม่ถูกแตะต้องจากความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ยังเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้ามาของตะวันตก (ฝรั่งเศส)

2. ชาวตะวันตก / คนขาว
ไม่มีภาพชาวตะวันตกอยู่ในตัวภาพ (ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์แทบทั้งหมด) แม้ว่าเรา - ผู้ชม - จะมองเหตุการณ์ในภาพผ่านสายตาชาวตะวันตกอยู่ก็ตาม (มีแต่ชาวตะวันตกเท่านั้นที่มี Orientalist gaze หรือ อีกนัยหนึ่ง tourist gaze สายตาแบบนักท่องเที่ยว ที่จะตื่นตาตื่นใจไปกับ.. เช่น การแสดงหมองู)

3. ตัวตนของศิลปะ
Nochlin เสนอว่า ด้วยทักษะในการเขียนแบบแบบเหมือนจริงของ Gérôme ทำให้ผู้ชมหลงลืมไปว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นงานศิลปะ ไม่ใช่บันทึกเชิงสารคดีที่มีความเป็นภววิสัย (อย่างไรก็ดี งานศิลปะอื่นๆ ที่เล่าเรื่องราวก็ให้ผลกระทบเช่นนี้ คือ เรามักไม่ตระหนักถึงตัวตนของงานศิลปะ และคิดไปว่า ศิลปะ "สะท้อน" ความเป็นจริงอย่างเป็นภววิสัย ซึ่ง ไม่ใช่)ความใส่ใจในรายละเอียดของจิตรกร เช่น ในการเขียนร่องรอยกระเบื้องที่แตกบนกำแพง หรือตัวอักษรอาราบิคบนกำแพงที่ได้รับคำชื่นชมว่า "can be easily read" ทำให้งานของ Gérôme มี "reality effect" (อย่างไรก็ดี จารึกภาษาอาราบิคที่ว่านั้น ในความเป็นจริง unreadable...)

4. การทำงานและการอุตสาหกรรม (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอุตสาหกรรมแบบโรงงาน แต่หมายถึง การทำงานโดยทั่วๆ ไป การเป็นแรงงาน Nochlin ใช้คำ the absence of scenes of work and industrial)
ร่องรอยกระเบื้องแตกบนกำแพงเชื่องโยงกับขนบการเขียนภาพแบบโอเรียนทอลลิสท์อย่างหนึ่งคือ ภาพสถาปัตยกรรมที่ถูกลืม ถูกละทิ่้ง พังแล้วไม่ได้ซ่อม นั้นมีความหมายเชิงการวิจารณ์คอรัปชั่นในสังคมอิสลาม บ่งบอกว่า คนตะวันออก (ชาวอิสลาม)เหล่านี้ ขี้เกียจ เฉยเมย ไม่ใส่ใจกับอะไร (ขนบเช่นนี้พบในงานเขียนแบบโอเรียนทอลลิสท์ด้วยเช่นกัน) ร่องรอยกระเบื้องพังบนกำแพงใน The Snake Charmer จึงให้ภาพว่าคนในภาพ (กลุ่มผู้ชมข้างกำแพง) เป็นพวกขี้เกียจไม่ทำงานทำการ และยังปล่อยให้อาคารทรุดโทรมอีก สิ่งที่ขาดหายไปสิ่งสุดท้ายนี้ไม่เชิงว่ามันเกี่ยวข้องกับการสร้าง "ความลึกลับของตะวันออก" โดยตรง แต่มันให้มุมมองแบบโอเรียนทอลลิสท์อีกประการหนึ่งคือ คนตะวันออกนั้นเป็นพวกป่าเถื่อนไม่ใส่ใจกับอะไร

กล่าวโดยสรุป จิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น ภาพ The Snake Charmer นี้ไม่ได้ "สะท้อน" ความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วของตะวันออก แต่มันผลิตสร้าง "ความจริง" (aka วาทกรรม) และความหมายของตะวันออก
คำของ Nochlin "...in this painting Gérôme is not reflecting a readymade reality but, like all artists, is producing meanings."


สำหรับประเด็นอื่นๆ ของจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น เพศ ศาสนา ความศิวิไลซ์ โปรดดู
Linda Nochlin, "The Imaginary Orient" Art in America, 71, no. 5 (May 1983): 118-131, 187, 189,191

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ป ร ะ ก า ศ

นักศึกษาที่รัก

อย่างที่ได้ประกาศไปแล้วว่า จะไม่มีการเช็คชื่อในห้องอีกต่อไป ดังนั้น จะเข้าหรือไม่เข้า เป็นเรื่องของพวกคุณเอง แต่...

ขอให้เข้าใจตรงกันว่า ในเมื่อเราได้ให้สิทธิในการเลือกกับพวกคุณไปแล้ว พวกคุณก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง


ถ้าตก ห้ามโอดครวญ...

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Romanticism


































นักประวัติศาสตร์ส่วนมากมองโรแมนติคซิสม์ในฐานะความเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านความคิดแบบ Enlightenment นักคิด Enlightenment ให้ความสำคัญกับเหตุผล แต่พวกโรแมนติคให้ความสำคัญกับความรู้สึก จินตนาการ และ intuition
ในศิลปะและวรรณกรรม โรแมนติคซิสม์สนใจหัวข้อที่มาจากอดีต, ชื่นชมในความรู้สึกที่อ่อนไหว, ความเป็นฮีโร่ที่โดดเดี่ยว, ความเคารพในพลังธรรมชาติ, เรื่องราวเหนือธรรมชาติ, จิตวิทยาและวัฒนธรรมที่ห่างไกล (exoticism)

ความหลากหลายเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาของการให้คำจำจัดความโรแมนติคซิสม์ จะระบุได้อย่างไร?


Arthur Lovejoy (1924)
"The word “romantic” has come to mean so many things that, by itself, it means nothing."
"There was a plurality of Romanticism, but no one fundamental Romantic idea.”


Charles Baudelaire (1846)

"Romanticism is precisely situated neither in choice of subject nor exact truth, but in a way of feeling."



KEYWORDS

The Infinite / The Eternal / God / Religion IN NATURE (*พระเจ้า ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงในบริบทของคริสตศาสนาเท่านั้น)
พระเจ้านั้นสามารถพบได้ในจิตใจมนุษย์และในธรรมชาติ (เกี่ยวกับนิยามของพระเจ้าในบริบทของพวกโรแมนติค ดูหมายเหตุในวงเล็บด้านบนอีกครั้ง)
Folklore / Fantasy
Individualism; freedom of will, ceativity, invention, feeling
(- - - > concept of artist as a genious)
Intuition / Unconsciousness
Gothic Revival: Gothic romance, Gothic architectural element, Gothic illustration
Sense / Sensibility
Romantic Nationalism
Human mind; psychology, mental illness (can be seen through facial expression)
Emotion
Sublime
Exoticism / Orientalism


ถึงแม้จะมีรากมาจาก Pietism ของเยอรมันที่ให้ค่า intuition และอารมณ์มากกว่าความนิยมในเหตุผลแบบ enlightenment อุดมการณ์และเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิวัติฝรั่งเศสก็มีส่วนต่อการสร้างหลักการของพวกโรแมนติคด้วยเช่นกัน โรแมนติคซิสม์ยังเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม คนในเมืองหนีชีวิตแบบเมืองไปหาธรรมชาติ หรือไม่ก็วัฒนธรรมห่างไกล พูดให้ชัดค้ือ หนีไปจากความเป็นจริงแบบสมัยใหม่ที่ตนเผชิญอยู่ และเป็นวิธีคิดแบบโรแมนติคนี้เองที่ทำให้เกิดมุมมองเกี่ยวกับศิลปินและปัจเจกบุคคลในฐานะฮีโร่ที่จะมาเปลี่ยนแปลงสังคม มันยังให้ความชอบธรรมแก่จินตนาการของปัจเจกบุคคลในฐานะการแสดงความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ หลุดจากขนบ ของศิลปะแบบเดิมๆ อีกด้วย

โรแมนติคซิสม์เน้นย้ำการแสดงภาพของอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความสยองขวัญ ความกังวลใจ และความรู้สึกที่แรงกล้าในรูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความ sublime ของธรรมชาติ พลังธรรมชาติเป็นพลังที่ไม่เชื่อง ที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ นี่เป็น aesthetics category ใหม่ มันยังยกระดับศิลปะและวรรณกรรมพื้นบ้าน และขยายพรมแดนการทำงานศิลปะไปสู่ความสนใจในวัฒนธรรมที่ห่างไกล

ภาพประกอบ (จากบนลงล่าง)
Antoine-Jean Gros, Napoleon at Eylau, 1807
Eugène Delacroix, Algerian Women in Their Apartment, 1834
John Constable, Salisbury Cathedral from the Meadows, 1831
Théodore Gericault, Woman Suffering from Compulsive Envy, c. 1822
Turner, Snow Storm: Hannibal and His Army Crossing the Alps, 1812
Théodore Gericault, Raft of the Medusa, 1819
Wiliam Blake, The Temptation and Fall of Eve, 1808 ภาพประกอบให้นิยาย Paradise Lost ของ Millton

Neo-Classicism: Noble, Simplicity and Calm Grandeur



“neo” หมายถึง “ใหม่” ความใหม่ในที่นี้ไม่ใช่ความใหม่แบบสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน neo แนะถึงความใหม่ / รูปแบบใหม่ของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วแต่ถูกหลงลืม ละทิ้ง หรือตายไป neo จึงมีความหมายในเชิงฟื้นฟู (revive) และกลับคืนมาอีกครั้ง (regain)


คำ “นีโอคลาสสิค” ถูกใช้เป็นครั้งแรกใน 1881 นักเขียนที่รีวิวงานมาสเตอร์พีซที่นิทรรศการที่ Royal Academy ที่ลอนดอนกล่าวถึงงาน St. John on Patmos ของ Nicolas Poussin ว่า “the neo-classic, if not Italian, mode of design is finely illustrated”


Johann Joachim Winckelmann

"The last and most eminent characteristic of the Greek works is noble, simplicity and calm grandeur beneath the strife and passions in Greek figures.”


"The only way for us to become great, yes, inimitable, if it is possible, is the imitation of the Greeks…" "... what is imitated, if handled with reason, may assume another nature, as it were, and become one's own."

- - - - > การปรับปรุงความไม่สมบูรณ์แบบ (imperfection) ความน่าเกลียด (ugliness) ความผิดสัดส่วน (disproportion) ของธรรมชาติให้ "สมบูรณ์แบบ"



ศิลปะกับศีลธรรม (Art and Moral)

Aristotle’s Poetics:

“The reason of the delight in seeing the picture is that one is at the same time learning—gathering the meaning of things”


แนวคิดของอริสโตเติลได้รับการพัฒนาต่อมาโดย Shaftesburry, Winckelmann และ Diderot จนกลายเป็นหลักการทางสุนทรียศาสตร์ของศิลปะนีโอคลาสสิค Winckelmann วิเคราะห์บทบาทเชิงศีลธรรมของศิลปะที่ว่านี้ในบริบทของงานโบราณ แต่ Diderot ได้ขยายความต่อไปจนกลายเป็นหลักการของศิลปะในสมัยนั้น (ฝรั่งเศส) สำหรับ Diderot เป้าหมายของศิลปะคือการสั่งสอนเชิงศีลธรรม ให้รักในความดี ทำความดี (virtue)


นีโอคลาสสิคในฝรั่งเศสในช่วงปฏิวัติมีลักษณะที่ต่างออกไปจากนีโอคลาสสิคอื่นๆ ในยุโรป เป็นส่วนผสมของประวัติศาสตร์โบราณ (โรมัน) การเมืองและปรัชญาร่วมสมัย และรูปแบบศิลปะคลาสสิค นอกจากนี้ มันยังผูกเอาวิธีคิดแบบชาตินิยมเข้าไปด้วย คือปลุกเร้าให้คนเสียสละต่อประเทศชาติ "ความดี" ในบริบทของศิลปะนีโอคลาสสิคฝรั่งเศสจึงหมายถึง คุณธรรมที่พลเมืองพึงมี (civic virtue) อันได้แก่ความรักชาติ (Patriotism)
ภาพประกอบ:
Jacques-Louis David (and Jean-Germain Drouais), The Oath of the Horatii , 1784




การประเมินผล

1. รายงานเชิงวิเคราะห์ ความยาว 6-8 หน้ากระดาษ (ไม่รวมรูป) ส่งหัวข้อรายงานและรายชื่อบรรณานุกรมทางอีเมล์ภายในวันที่ 2 สค. ส่งรายงานสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน 40 คะแนน
2. take home exam ตอบคำถาม 5 ข้อ (มีคำถามให้เลือก) 50 คะแนน ให้เวลาทำข้อสอบ 1 สัปดาห์
3. การมีส่วนร่วม 10 คะแนน (ในชั้นเรียน, ในบล๊อก)

รวม 100 คะแนน ตัดคะแนนตามเกณฑ์

Course Outline (Tentative)

1. Introduction

2. Neoclassicism

3. Romanticism

4. Orientalism

5. Realism

6. International Exhibition / World Exposition

7. Photography

8. Impressionism

9. Neo-Impressionism

10. Vincent Van Gogh

11. Paul Cézanne

12. Paul Gauguin

13. Symbolism

14. Art Nouveau