
* เนื่องจากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุขัดข้อง ทำให้สอนไม่จบ จึงขอใส่เนื้อหาที่ละเอียดลงในนี้ แต่โดยปกติแล้ว บล๊อคนี้จะมีแค่ไอเดียหลักๆ ของศิลปะแต่ละรูปแบบเท่านั้น โปรดเข้าใจด้วยว่า มันจะไม่มีแบบนี้สำหรับสัปดาห์อื่นๆ
Orientalist = anyone who teaches, talks about, researches the Orient. What he or she does is Orientalism.
Orient = the East, Asia อย่างไรก็ตาม ในบริบทที่เราพูดถึงกันนี้ จำกัดอยู่ที่ Near East / Middle East
Orientalism
Edward Said นักวิชาการชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเขียนหนังสือ Orientalism ขึ้นเมื่อปี 1978 หนังสือของซาอิดได้วิพากษ์กระบวนการผลิตสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับตะวันออก ตลอดจนความรับรู้เกี่ยวกับตะวันออกของชาวตะวันตก(Orientalism)ว่าเป็นวาทกรรมตัวหนึ่งที่ไม่แยกขาดจากการล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Orientalism จึงเป็นมายาคติที่แฝงอคติทางชาติพันธุ์ และเกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นอื่น (other) ที่ทั้งอันตรายและน่าหลงใหลไปพร้อมๆ กัน
"The Orient was almost a European invention, and had been since antiquity a place of romance, exotics being, haunting memories and landscape, remarkable experiences."
The Orient is not only adjacent of Europe; it is also the place of Europe’s greatest and richest and oldest colonies, the source of its civilizations and languages, its cultural contestant, and one of its deepest and most recurring images of the Other. In addition, the Orient has helped to define Europe (or the West) as its contrasting image, idea, personality, experience. Yet none of this Orient is merely imaginative. The Orient is an integral part of European material civilization and culture. Orientalism expresses and represents that part culturally and even ideologically as a mode of discourse with supporting institutions, vocabulary, scholarship, imagery, doctrines, even colonial bureaucracies and colonial styles.
ซาอิดได้ย้ำมุมมองนี้ในงานเขียนอีกชิ้น "Cultura, identidad e historia" Letra international, N 48, 1997, p. 4-13
“The East became a synonym of the exotic, feminine and mysterious, of the profound and seminal, in the works of Goethe, Victor Hugo, Lamartine, Nerval, Disraeli, Delacroix, Flaubert, Friedrich Schlegel and dozens and dozens of authors. By orientalizing even more the Orient and the oriental, a deep abyss opened between the would-be cultural identities of the West and East and, at the same time an awareness of one’s own cultural identity was strengthened, its essence extracted to the point that it made the East, with its prodigious despotism, sensuality and fertility, into the Other par excellent. Whether the writer or the musician was inspired by Egypt (Verdi’s Aida) or India (Delibe’s Lakmé), by Japan (Madame Butterfly) or the North of Africa (Flaubert’s Salammbô), there were always thinking of that fabulous East that fulfilled the function of safeguarding Europe’s identity as an observer, appraiser, ruler and judge of the East.”
อาจสรุปอย่างรวบรัดได้ว่า Orientalism เป็นวาทกรรมของ / ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยโลกทัศน์แบบชาวตะวันตก เกี่ยวกับตัวตนของตะวันออก และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับความเป็นตะวันออก ด้้วยความเกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในช่วงล่าอาณานิคม (ซึ่งมีมาก่อนศตวรรษที่ 19 แล้ว) Orientalism จึงแสดงทัศนคติของชาวตะวันตกที่มองตัวเองสูงกว่าชาติอื่นๆ (aka ตะวันออก) เพื่อให้ความชอบธรรมแก่การเข้าครอบครอง และ/หรือ เปลี่ยนแปลงดินแดนอื่น Orientalism จึงไม่ใช่องค์ความรู้ หรือหัวข้อการศึกษาที่เป็นอิสระจากประเด็นเชิงการเมือง
ในแง่นี้ ตะวันออกเป็นสิ่งประดิษฐ์สร้าง The Orient was created
(ในทางกลับกัน ตะวันตก ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเช่นกัน การพูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ตะวันออก และตะวันตก ไม่มีอยู่จริง แต่ต้องการให้เห็นว่า มันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเป็นแค่นามธรรมเท่านั้น แต่มีความเป็นวัตถุที่จับต้องได้อยู่ด้วย)
Orientalism เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นผ่าน narrative ประเภทต่างๆ ทั้งงานเขียนเชิงวิชาการ สารคดี บทกวี นิยาย ภาพถ่าย รวมทั้งศิลปะด้วย ศิลปะจึงไม่ได้เพียงแค่ "สะท้อน" ทัศนคติแบบ Orientalist แต่ "เป็นส่วนหนึ่ง" ของการก่อสร้างตัวตนของวาทกรรมดังกล่าวนี้ พิเศษขึ้นไปอีกคือ ศิลปะ “ให้ภาพ” (visualize)
อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือ Orientalism ของซาอิดจะไม่ได้กล่าวถึงงานศิลปะโดยตรง แต่ข้อวิจารณ์ของซาอิดต่อวรรณกรรมโอเรียนทอลลิสท์ ก็สามารถใช้กับศิลปะได้เช่นกัน
Orientalism ในฐานะ "a mode for defining the presumed cultural inferiority of the Islamic Orient… part of the vast control mechanism of colonialism, designed to justify and perpetuate European dominance"
ต่อไปนี้จะยกตัวอย่างจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ฝรั่งเศสที่แสดงทัศนคติที่ว่า
Jean-Léon Gérôme, The Snake Charmer, late 1860s
นักประวัติศาสตร์ศิลปะ Linda Nochlin ได้วิจารณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นการประมวลภาพอุดมการณ์แบบอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Nochlin เสนอว่าชื่องานควรจะเป็น The Snake Charmer and his Audience แทนที่จะเป็น The Snake Charmer เท่านั้น เพราะเราถูกกำหนดให้มองทั้งตัวผู้แสดงและผู้ชมที่อยู่ในภาพ เรา-ผู้ชมจริงๆ นอกภาพ- ไม่ได้รับเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ชมในภาพ แต่เป็นผู้มองพวกเขาอีกที ในภาพ เรามองเห็นกลุ่มผู้ชมการแสดงกระจุกตัวกันอยู่หน้ากำแพงที่เต็มไปด้วยลวดลายของกระเบื้องแบบตะวันออก ทั้งหมดในภาพ คือทั้งผู้แสดง และกลุ่มผู้ชมการแสดงเหล่านั้นแปลกแยกจากเรา (ผู้ชมจริงๆ) ทั้งหมดเป็นวัตถุ เป็นภาพเพื่อการจ้องมองของเรา
สิ่งต่างๆ ทั้งหมดในภาพให้ความรู้สึกถึงความลี้ลับ ซึ่งความรู้สึกลึกลับนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยกลยุทธ์ของตัวภาพเองด้วย จิตรกรเลือกที่จะสร้างความลึกลับนี้ด้วยการให้เรามองเห็นแต่ด้านหลังของเด็กผู้ชายที่กำลังแสดงกับงูอยู่เท่านั้น เราไม่ได้เห็นทั้งหมด ไม่ได้เห็นในแบบที่ผู้ชม (ในภาพ)ที่หันหน้ามาทางเราได้เห็น เราไม่ได้เห็นความชัดเจนของเครื่องเพศ ซึ่งจะชี้ชัดลงไปว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย (แม้เราจะ "อนุมาน" ได้จากด้านหลัง)และเราก็ไม่ได้เห็นความน่ากลัวของการแสดงงู “ทั้งหมด” ความลี้ลับในภาพนี้เองที่ signify ความลี้ลับของตะวันออก เป็นความลี้ลับของ ตอ ในอุดมการณ์ของ Orientalism
Nochlin ได้วิเคราะห์ต่อไปว่า มีสิ่งที่ขาดหายไป 4 ประการในภาพ ซึ่งได้สนับสนุนแนวคิดของซาอิดว่า Orientalism (ตลอดจน Orientalist painting) เป็นวาทกรรมของชาวตะวันตก ที่อยากจะเห็น และ/หรือ เชื่อว่า ตะวันออกเป็นในแบบๆ หนึ่งที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่เปิดโอกาสให้ความเป็นจริงในรูปแบบอื่นได้มีโอกาสแสดงตัว (ตะวันออกในแบบที่่ว่าเป็นอย่างไร ดู quote ที่ 1 ด้านบน)
1. ประวัติศาสตร์
Nochlin กล่าวว่า ไม่มี "เวลา" ในภาพของ Gérôme จิตรกรแนะว่าโลกตะวันออกไม่มีการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมล้วนไม่ถูกแตะต้องจากความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ยังเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้ามาของตะวันตก (ฝรั่งเศส)
2. ชาวตะวันตก / คนขาว
ไม่มีภาพชาวตะวันตกอยู่ในตัวภาพ (ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์แทบทั้งหมด) แม้ว่าเรา - ผู้ชม - จะมองเหตุการณ์ในภาพผ่านสายตาชาวตะวันตกอยู่ก็ตาม (มีแต่ชาวตะวันตกเท่านั้นที่มี Orientalist gaze หรือ อีกนัยหนึ่ง tourist gaze สายตาแบบนักท่องเที่ยว ที่จะตื่นตาตื่นใจไปกับ.. เช่น การแสดงหมองู)
3. ตัวตนของศิลปะ
Nochlin เสนอว่า ด้วยทักษะในการเขียนแบบแบบเหมือนจริงของ Gérôme ทำให้ผู้ชมหลงลืมไปว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นงานศิลปะ ไม่ใช่บันทึกเชิงสารคดีที่มีความเป็นภววิสัย (อย่างไรก็ดี งานศิลปะอื่นๆ ที่เล่าเรื่องราวก็ให้ผลกระทบเช่นนี้ คือ เรามักไม่ตระหนักถึงตัวตนของงานศิลปะ และคิดไปว่า ศิลปะ "สะท้อน" ความเป็นจริงอย่างเป็นภววิสัย ซึ่ง ไม่ใช่)ความใส่ใจในรายละเอียดของจิตรกร เช่น ในการเขียนร่องรอยกระเบื้องที่แตกบนกำแพง หรือตัวอักษรอาราบิคบนกำแพงที่ได้รับคำชื่นชมว่า "can be easily read" ทำให้งานของ Gérôme มี "reality effect" (อย่างไรก็ดี จารึกภาษาอาราบิคที่ว่านั้น ในความเป็นจริง unreadable...)
4. การทำงานและการอุตสาหกรรม (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอุตสาหกรรมแบบโรงงาน แต่หมายถึง การทำงานโดยทั่วๆ ไป การเป็นแรงงาน Nochlin ใช้คำ the absence of scenes of work and industrial)
ร่องรอยกระเบื้องแตกบนกำแพงเชื่องโยงกับขนบการเขียนภาพแบบโอเรียนทอลลิสท์อย่างหนึ่งคือ ภาพสถาปัตยกรรมที่ถูกลืม ถูกละทิ่้ง พังแล้วไม่ได้ซ่อม นั้นมีความหมายเชิงการวิจารณ์คอรัปชั่นในสังคมอิสลาม บ่งบอกว่า คนตะวันออก (ชาวอิสลาม)เหล่านี้ ขี้เกียจ เฉยเมย ไม่ใส่ใจกับอะไร (ขนบเช่นนี้พบในงานเขียนแบบโอเรียนทอลลิสท์ด้วยเช่นกัน) ร่องรอยกระเบื้องพังบนกำแพงใน The Snake Charmer จึงให้ภาพว่าคนในภาพ (กลุ่มผู้ชมข้างกำแพง) เป็นพวกขี้เกียจไม่ทำงานทำการ และยังปล่อยให้อาคารทรุดโทรมอีก สิ่งที่ขาดหายไปสิ่งสุดท้ายนี้ไม่เชิงว่ามันเกี่ยวข้องกับการสร้าง "ความลึกลับของตะวันออก" โดยตรง แต่มันให้มุมมองแบบโอเรียนทอลลิสท์อีกประการหนึ่งคือ คนตะวันออกนั้นเป็นพวกป่าเถื่อนไม่ใส่ใจกับอะไร
กล่าวโดยสรุป จิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น ภาพ The Snake Charmer นี้ไม่ได้ "สะท้อน" ความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วของตะวันออก แต่มันผลิตสร้าง "ความจริง" (aka วาทกรรม) และความหมายของตะวันออก
คำของ Nochlin "...in this painting Gérôme is not reflecting a readymade reality but, like all artists, is producing meanings."
สำหรับประเด็นอื่นๆ ของจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น เพศ ศาสนา ความศิวิไลซ์ โปรดดู
Linda Nochlin, "The Imaginary Orient" Art in America, 71, no. 5 (May 1983): 118-131, 187, 189,191
Linda Nochlin, "The Imaginary Orient" Art in America, 71, no. 5 (May 1983): 118-131, 187, 189,191
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น