ชื่อรายงาน : ระนาบที่สยบการเคลื่อนไหว กับสามเหลี่ยมแห่งอำนาจ:ความสัมพันธ์ในองค์ประกอบศิลป์ต่อความหมายภาพจิตรกรรมในช่วง Neo-classicism – Romanticism
หัวข้อรายงาน: การอ่านและตีความจากภาพจิตรกรรมล้วนต้องใช้หลายๆองค์ประกอบศิลป์เข้ามาเพื่อ วิเคราะห์ วิพาก หรือวิจารณ์ จนกระทั่งเกิดเป็นเอกภาพ โดยนัยรูปแบบของการจัดวางวัตถุที่แสดงถึง รูปร่าง รูปทรง และ มวลในภาพจิตรกรรมมีส่วนสำคัญอย่างเช่น การวางองค์ประกอบในแนวระนาบ หรือ การวางในรูปสามเหลี่ยม เพราะจิตรกรแต่ละคนเลือก และมีจุดประสงค์ที่จะวางตำแหน่งของภาพที่สอดคล้องไปกับตัววาทกรรมต่างๆ ในที่นี้ขอใช้ภาพจิตรกรรมในช่วง Neo-classicism – Romanticism ถือว่าเป็นช่วงที่ต่อกันของลักษณะศิลปะ เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เป็น รสนิยม ของศิลปินที่ต้องการจะสื่อความออกมาถึงผู้ชมจึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอย่างเช่นการเปลี่ยนจากการทำงานในเชิงอุดมคติมาเป็นลักษณะในงานปัจเจกชนมากขึ้น ถึงอย่างไรก็ตามศิลปินล้วนที่จะแสดงบทบาทของความต่อเนื่องในการสะท้อนความคิดของผู้คนในสังคมมาโดยตลอด รายงานชิ้นนี้จึงต้องการที่จะศึกษาการตีความจากการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ และส่วนปลีกย่อย ที่แสดงความต่อเนื่องของ รสนิยม ในตัวศิลปินและผู้เสพย์อันเป็นผลสะท้อนการเคลื่อนไหวของแนวคิดในช่วงเวลานั้น ในฐานะของนักวิเคราะห์ วิพาก และวิจารณ์ ปัจจุบัน
Main research question: องค์ประกอบเรื่องการจัดวาง เป็นรสนิยมความชอบที่ศิลปินต้องการจะนำมาใช้สื่อความหมายต่อผู้ชมโดยลักษณะการวางที่แตกต่างกันนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพจิตรกรรมช่วงNeo-clssic-Romantic มีความแตกต่างกันอย่างไร และเหมือนกันอย่างไรทั้งในด้านการตีความ และความรู้สึกของผู้ชม
ผลงานที่จะวิเคราะห์ :
นีโอคลาสสิค
1.Jean-Auguste-Dominiques Ingres,Grande Odalisque:1814
2.Jacques-Louise David,The Death of Marat:1793
3.Antoine-Jean Gros,Napoleon on the Battlefield at Eylan:1808
โรแมนติค
1.Ferdinand Victor Eugène Delacroix,Liberty Leading the People:1830
2.Théodore Gericault,The Raft of the Medusa:1819
บรรณานุกรม
ฉัตร์ชัย อรรถปักษ.องค์ประกอบศิลปะ. กรุงเทพฯ : วิทยพัฒน์. 2548.
เฉลิมภรณ์ ชูอรุณ.ศิลปกรรมสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2549.
ธิติมา นรัตถรักษา. “บันทึกโศกนาฏกรรมบนผืนผ้าใบ” . อาร์ท เรคคอร์ด. ปีที่1 ฉบับที่8. 2537. 48-49.
นิคอเละ ระเด่นอาหมัด.ทฤษฏีจิตรกรรม.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2543.
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์.ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์. 2551.
สายัณห์ แดงกลม. “วาทกรรมหักเห:สู่พื้นที่ว่างในภาพ”.วารสารหอศิลป์. ปีที่2 ฉบับที่1.?. 44-57.
http://www.artgazine.com/
www.smarthistory.org/romanticism-in-france.html
------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรายงาน : ราคะจริต(erotic) กับความสวนทางในค่านิยมคติธรรมเนื่องในแนวความคิดของศิลปะนีโอคลาสสิค
หัวข้อรายงาน : ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษ ที่ 19 นั้นไม่ใช่แสงแรกที่แท้จริงของศิลปะแห่งความสูงส่ง อันเป็นที่มาของการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1748 หากแต่ควรพูดว่าเป็นรุ่งอรุณของความเฟื่องฟูในแนวงานศิลปะแบบใหม่ หรือที่เรียกศิลปะ “Neoclassic” เห็นจะสมควรกว่า เพราะในความเป็นจริง ศิลปะนีโอคลาสสิคนั้นก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ราวปลายคริสต์ศวรรษที่ 18 อันมีแนวงานที่ต่อเนื่องมาจากรูปแบบงานศิลปะร็อคโกโก ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นความชดช้อย ให้อารมณ์ที่บางเบาสวยงาม หากเปรียบกับมนุษย์แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากความงามของหญิงสาว ด้วยบรรยากาศเริ่นเริงสดใสในการใช้สีสรรอ่อนหวานกับนัยทางโลกีย์วิสัยที่แฝงอยู่ในภาพเสมอจนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และเสมือนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของแนวงาน หากเมื่อมีกระแสความคิดใหม่ที่เน้นในเรื่องจริยธรรม คติธรรม ความสูงส่งและการโหยหาอดีตที่สมบูรณ์แบบในสมัยรุ่งเรื่องของอารยธรรมกรีก-โรมัน อันจำกัดความอยู่ภายใต้ชื่อนีโอคลาสสิคที่ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ จนทำให้ความนิยมในแบบร็อคโคโคนั้นเสือมไปในที่สุด หากแต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าภายในความสูงส่งที่อวยอ้างนั้น ไม่ปรากฎสิ่งที่เรียกว่า “ราคะจริต (erotic)”อย่างแน่แท้ ในเมื่อแนวงานดังกล่าวเป็นรสนิยมในสมัยก่อนหน้า หรือจะมั่นใจได้ว่าความerotic ภายในภาพได้ตายไปแล้วจริง ตามแนวงานศิลปะร็อคโกโกที่เสื่อมลง เช่นนั้นเมื่อเกิดความไม่มั่นใจ สมควรแล้วหรือถ้าศิลปะนีโอคลาสสิคจะยกย่องและเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปะแห่งความสูงส่ง รายงานชิ้นนี้จึงอยากวิเคราะห์ความขัดแย้งจากวาทกรรม Neoclassicism กับผลงานจิตรกรรมที่ปรากฎออกมาเป็นหลักฐานการวิเคราะห์เหล่านี้
Main reseach question : แท้ที่จริงแล้วภาพจิตรกรรมในศิลปะนีโอคลาสสิคปรากฏความ erotic อยู่หรือไม่
บรรณานุกรม :
วีรวรรณ มณี. จิตรกรยุโรปในศตวรรษที่ 19. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2528.
วีรวรรณ มณี, ผู้รวบรวม. ภาพทิวทัศน์ในจิตรกรรมตะวันตก. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
Toman, Rolf. Neoclassicism and Romanticism. Oldenburg ; Neue Stalling, 2000.
-----------------------------------------------------------------------------------------------
Jacques Louis David กับการปฏิวัติฝรั่งเศส
โดยจะพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสว่ามีสาเหตุมาจากอะไรและเหตุผลอะไรที่ทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิวัติ Jacques Louis David เข้ามามีบทบาท มีแนวคิดต่อต้านกับอำนาจที่ไม่ชอบทำและมีผู้ร่วมอุดมการณ์ด้วยแต่สุดท้ายต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้น โดยใช้ภาพ the dead of Marat ช่วยในการอธิบายทั้งในด้านประวัติศาสตร์และการวิจารณ์ศิลปะ
คำถาม : ภาพ The Dead of Marat ของ Jacques Louis David สื่อถึงแนวคิดอะไรต่อการปฎิวัติในฝรั่งเศส และส่งผลอย่างไร ?
บรรณานุกรม
Nanteuil, Luc de. Jacques-Louis David .New York : H.N. Abrams, 1990.
Monneret, Sophie. David and neo-classicism . Paris : Terrail, c1999.
Helen Weston. Jacques-Louis David's Marat. New York : Cambridge University Press, c2000.
จรัล ดิษฐาอภิชัย. การปฏิวัติฝรั่งเศส . กรุงเทพฯ : เบรนเซ็นเตอร์, 2542.
อาทิตย์ทิพอาภา, พระองค์เจ้า. ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส . กรุงเทพฯ : โฆษิต, 2549.
------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรายงาน : จากผลงาน “The Absinte Drinker(1859)” สู่ “Bar at the Folies- Berger(1881)” 22 ปี กับพลวัตการเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลงาน “Edouard Manet”
หัวข้อรายงานการศึกษา : สองทศวรรษกว่า กับชีวิตศิลปินที่โด่งดังคนหนึ่งในกลุ่มอิมเพรสชันนิสต์ในฝรั่งเศสนามว่า มาเนต์ หรือเอดูอารด์ มาเนต์ เขาผู้นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปินตัวอย่างของวงการศิลปะในสมัยนั้นที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นศิลปินแห่งภาพชีวิตใหม่ ด้วยผลงานทางด้านศิลปะของเขาได้มีวิวัฒนาการณ์ตามรูปแบบยุคสมัยอย่างเห็นได้ชัดเจนด้วยเหตุนี้เองผู้ศึกษาจึงเห็นว่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปินผู้นี้มีความน่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีนักวิชาการ หลายๆท่านได้ศึกษาและตีพิมพ์ถึงเรื่องราวของมาเนต์ไว้มากมาย แต่ในที่นี้ผู้ศึกษาจักขอหยิบยกประเด็นที่ผู้ศึกษาสนใจนั้นคือภาพวาดที่มาเนต์ได้วาดขึ้นในปี 1858-1859 ชื่อว่า “The Absinte Drinker” และทิ้งระยะห่างยี่สิบปี กับภาพที่ชื่อ “Bar at the Folies- Berger” ในปี 1881-1882
โดยประเด็นของการศึกษาคือเปรียบเทียบเทคนิคผลงาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผลงานของศิลปินที่สะท้อนออกมาจากภาพวาดโดยศึกษาพร้อมกับบทความของนักวิชาการ และวิเคราะห์ถึงความแตกต่างของภาพสองภาพที่เกิดขึ้นให้เห็นถึงบริบททางสังคมของมาเนต์ในแต่ละช่วงของการเป็นศิลปินรวมถึงอิทธิพล เทคนิค และความใกล้ชิดศิลปินคนอื่นที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับมาเนต์ ผู้ศึกษามีความคิดว่าเรื่องราวที่จะศึกษานี้จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ศึกษาเองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องราวของศิลปินมาเนต์รวมทั้งผลงาน ซึ่งนับว่าเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ผู้ศึกษาชื่นชม
Main reseach question : ผลงานทางศิลปะของทั้งสองภาพ“The Absinte Drinker(1859)” “Bar at the Folies- Berger(1881)” สะท้อนมุมมองทางความคิด การเปลี่ยนแปลง เทคนิค การนำเสนอผลงานศิลปะ และชีวิตของมาเนต์อย่างไรบ้าง ?
บรรณานุกรม :
จิตติมา อมรพิเษฐ์กูล. ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสในฝรั่งเศส. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551.
อารี สุทธิพันธุ์. ศิลปนิยม. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.พิมพ์ครั้งที่ 4, 2535.
http://witcombe.sbc.edu/ARTHLinks5.html
http://www.arthistory.net/
http://www.artchive.com/artchive/M/manet.html
------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรายงาน : ศิลปินหญิงกับศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์
หัวข้อรายงาน : ผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม เศรษฐกิจ และปรัชญาชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องเสรีภาพ และปัจเจกชน รวมถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ได้ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะในยุคนี้ เกิดเป็นศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ ดังจะเห็นได้ว่าในสมัยศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์นี้ ปรากฏศิลปินหญิงที่มีบทบาท และมีความสามารถมากในวงการศิลปะหลายคน ซึ่งไม่ปรากฏในยุคก่อนๆ เช่น ศิลปะนีโอคลาสสิค
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้องการทราบถึงบทบาทของศิลปินหญิงในยุคนี้ และแรงบันดาลใจของตัวศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ต่อตัวศิลปิน และการแสดงออกทางผลงานศิลปะของศิลปินเหล่านั้น
การให้ความยอมรับในผลงาน และตัวของศิลปินหญิงในยุคนี้ว่ามีมากน้อยเพียงใด และผลงานของศิลปินหญิงเหล่านี้นั้นส่งอิทธิพลต่อทรรศนคติ ของคนทั่วไปอย่างไร และการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินในยุคต่อไปอย่างไร
คำถามหลัก : ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่งอิทธิพลทางทรรศนคติ และการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินหญิงในยุคนี้อย่างไร และเพราะเหตุใด การให้การยอมรับของคนทั่วไป และศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ด้วยกันเอง ว่าให้การยอมรับมากน้อยเพียงใด และทำไม
บรรณานุกรม
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2549). แมรี คาซาท . แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%97 (1 สิงหาคม 2552)
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (มปป.). ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ . แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%8C (1 สิงหาคม 2552)
Denvir, Bernard. Impressionism : the painters and the paintings . New York : Millard Press, 1917.
------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรายงาน : Pride and Prejudice กับประเด็นที่ขัดแย้งระหว่างความเป็นวรรณกรรม Romantic หรือ Realistic??
หัวข้อรายงาน : Pride and Prejudice เป็นวรรณกรรมคลาสสิก ประพันธ์โดยJane Austen นักเขียนชาวอังกฤษผู้ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง ค.ศ.1775 - 1809 งานเขียนชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวในปีค.ศ.1795 ซึ่งเป็นช่วงสมัยของการเกิดแนวคิดแบบRomanticlism
Pride and Prejudice เป็นเรื่องราวของหญิงสาวชนบทของประเทศอังกฤษนช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 ในแต่ละตัวละครผู้แต่งได้ให้อัตลักษณ์ที่แตกต่างและเด่นชัด โดยเฉพาะลักษณะของหญิงสาวในแบบต่างๆ ที่ซึ่งจะพบได้โดยทั่วไปในสังคมชนบทของอังกฤษ ณ ขณะนั้น ตัวสถานที่ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในเรื่องล้วนมีอยู่ จริงในประเทศอังกฤษ
จากภาพรวมของเรื่องราวที่กล่าวไปข้างต้น ในความคิดเห็นของข้าพเจ้ามีความคิดว่า วรรณกรรม ชิ้นนี้ค่อนข้างมีความเป็น Realistic ค่อนข้างมาก แต่จากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัววรรณกรรม Pride and Prejudice หรือจากข้อมูลของผู้ประพันธ์ มีความคัดแย้งในเรื่องของการจัดประเภทของวรรณกรรมชิ้นนี้ คือ ส่วนหนึ่งมีการจัดให้วรรณกรรมอังกฤษเล่มนี้อยู่ในประเภท Romanticlism และอีกส่วนหนึ่งจัดให้อยู่ใน กลุ่มของวรรณกรรมประเภท Realism ดังนั้นประเด็นสงสัยจึงเกิดขึ้น
Main Question : วรรณกรรมPride and Prejudice ด้วยตัวของเนื้อหาแล้วสามารถจัดอยู่ในกลุ่ม ของแนวคิดประเภทไหน?? ระหว่าง Romanticlism หรือ Realism
บรรณานุกรม :
เจน ออสติน : เขียน ; จูเลียต : แปล จาก Pride and Prejudice. พิมพ์ครั้งที่ 5 .กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์ ,2546
เปลื้อง ณ นคร, ปริทรรศน์แห่งวรรณคดีอังกฤษ/โดย นายเปลื้อง ณ นคร.กรุงเทพฯ : รวมสาส์น,2529
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, ประวัติศาสร์ศิลปะตะวันตก ฉบับสมบูรณ์, กรุงเทพฯ : วาดศิลป์,2549
เสริมจิต สิงหเสนี, ความรู้เบื้องต้นในเรื่องวรรณคดีอังกฤษและวรรณคดีอเมริกัน, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง,2518
------------------------------------------------------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น