วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หัวข้อรายงาน

วิวัฒนาการภาพถ่าย

ความเป็นมาและความสำคัญ
การถ่ายภาพ คือ Photography (อ่านว่า โฟโตกราฟฟี) มาจากการผสมคำกรีกสองคำ คือ คำว่า φως - phos ซึ่งแปลว่า แสง กับคำว่า γραφις - graphis หรือ γραφη - graphê ซึ่งแปลว่า การเขียน. เมื่อรวมกันแล้ว จึงมีความหมายตรงตัวว่า การวาดภาพด้วยแสง

การถ่ายภาพ คือ การบันทึกเหตุการณ์ ณ จุดเาลาใดเวลาหนึ่ง โดยการเก็บสภาพแสง ณ เวลานั้นไว้บนวัตถุไวแสง ผ่านอุปกรณ์รับแสงที่เรียกว่า กล้องถ่ายรูป หลังจากนั้น จะสามารถเปลี่ยนสภาพแสงเหล่านั้นกลับมาเป็นภาพได้อีกครั้งหนึ่ง ผ่านกระบวนการล้างอัดภาพ ความสำคัญของการถ่ายภาพคือ การเก็บบันทึกประวัติศาสตร์ ณ จุดที่เราบันทึกภาพถ่ายเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอีกทางหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพจึงเป็นศาสตร์แขนงที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการวิจัยในเรื่องการถ่ายภาพมาตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 19 ทำให้ปัจจุบันวิวัตนาการการถ่ายภาพได้พัตนามาจนถึงกล้องที่ถ่ายออกมาเป็นไฟล์ดิจิตอล ไม่ต้องเสียเวลาล้างฟิล์มอีกต่อไป

วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาความเป็นมาของการถ่ายถาพและภาพถ่ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
2. เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ
3. เพื่อศึกษารูปแบบของการถ่ายภาพ
4. เพื่อศึกษาแนวทาง แนวคิดและเทคนิคในการถ่ายภาพ

ขอบเขตของการศึกษา
1. จะศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาเรื่องการถ่ายรูป ภาพถ่าย ตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยใหม่
2. ศึกษาในเรื่องแนวคิดของศิลปินกับภาพถ่ายว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร

แหล่งข้อมูลและการรวบรวมข้อมูล
1. แหล่งข้อมูลทางเอกสาร อาศัยข้อมูลจากงานวิจัยทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ตลอดจนข้อมูลจากสิ่งตีพิมพ์ในเอกสาร บทความ หนังสือที่เกี่ยวข้อง และอินเตอร์เน็ต

ขั้นตอนการวิจัย
1. จะทำการค้นคว้าในเรื่องของประวัติการถ่ายภาพตั้งแต่ยุคเริ่มแรก
2. จะทำการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์กันระหว่างช่วงระยะเวลานั้นและผลงานที่ออกมาของศิลปิน
3. สรุปผลการศึกษา เพื่อนำมาประมวล เรียบเรียง และนำเสนองานวิจัย

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการถ่ายภาพและภาพถ่าย
2. ได้ศึกษาถึงคตินิยมของศิลปินต่อผลงานนั้นๆ
3. ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจะเป็นประโยชน์ในการศึกษางานด้านเชิงลึกต่อไป

ข้อตกลงเบื้องต้น
1. การศึกษาจะเน้นด้านประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์แนวคิดของการถ่ายภาพ
2. เนื้อหางานเกี่ยวเนื่องกับวิชา 19th century western art

บรรณานุกรม
1 จากอดีต... ถึงปัจจุบันการถ่ายภาพ สุภาณี กอสุวรรณศิริ สุมิตรา ขันตยาลงกต
2 PHOTO - JOURNALISM 1855 TO THE PRESENT REUEL GOLDEN

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน: Toulouse Lautrecกับงานโปสเตอร์ในฐานะงานศิลปะ

หัวข้อรายงาน:
ในช่วงศตวรรษที่19 คือช่วงเวลาของการปฎิวัติทางอุตสาหกรรมของโลก ซึ่งจากการปฎิวัตินี้ได้ส่งผลกระทบต่อวงการศิลปะในช่วงนั้นให้ศิลปินมีการคิดค้นวิธีการในการสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคของการผลิตซ้ำ (reproduction) โดยรายงานชิ้นนี้ต้องการนำเสนอและวิเคราะห์งานศิลปะที่อยู่ในกระบวนการของการผลิตซ้ำ(งานโปสเตอร์)ของตูลูส โลเตร็ก ว่ามีคุณค่าทางศิลปะเทียบเท่ากับงานวิจิตรศิลป์ได้หรือไม่

main reserch question: โปสเตอร์จัดอยู่ในฐานะงานศิลปะได้หรือไม่

บรรณานุกรม
The work of Art in the age of mechanical Reproduction จากบทความของWalter Benjamin
http://www.midnightuniv.org/
1968: เชิงอรรถการปฎิวัติ,ธเนศ วงศ์ยานาวา กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์ 2552
กราฟฟิกดีไซน์ของโปสเตอร์, จิรายุ พงส์วรุตม์ กรุงเทพฯ สารคดีภาพ 2551

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : โลกทัศน์ของชาวตะวันตกต่อสตรีต่างถิ่นในจิตรกรรม Orientalism

หัวข้อ : ในภาพจิตรกรรม Orientalism ที่บรรดาศิลปินชาวตะวันตกสร้างสรรค์ออกมานั้น ได้แฝงไว้ซึ่งความตื่นตาตื่นใจของสิ่งแปลกใหม่ในโลกที่พวกเขาได้ไปสัมผัสเอง(หรือเพียงแต่ถ่ายทอดมันต่อมาจากหนังสือหรือคำบอกต่อจากผู้อื่น) โลกทัศน์ที่ปรากฎให้เห็นในภาพบางครั้งมักมีการแอบแฝงซึ่งมุมมองต่อชาติตะวันออกเยี่ยงชาติพันธ์ที่ด้อยกว่า สอดคล้องกับในช่วงสมัยนั้นซึ่งเป็นช่วงยุคแห่งการล่าอาณานิคมที่ฝรั่งเศสขยายอำนาจ การตีค่าตนเองคือชาวตะวันตกจึงมองว่าตนสูงกว่าและพัฒนามากกว่า ประเด็นหนึ่งที่ภาพวาดมักสะท้อนแนวคิดนี้คือ สตรีชาวตะวันออกที่ศิลปินฝรั่งเศสถ่ายทอดออกมานั้น ส่วนใหญ่มักถูกแสดงออกให้เห็นในรูปแบบเรือนร่างแลดูยั่วยวน นุ่งน้อยห่มน้อย และท่าทางดูมีความลึกลับ คล้ายการมองเป็นเพียงวัตถุทางเพศ ซึ่งเป็นลักษณะที่พวกเขาไม่ค่อยวาดออกมาผ่านหญิงสาวในประเทศของตนเอง(หญิงสาวชาวตะวันตก) ลักษณะเช่นนี้จึงแสดงให้เห็นความแตกต่างในมุมมองของชาวตะวันตกต่อสตรีในประเทศตนและสตรีในโลกตะวันออกอย่างชัดเจน

คำถาม : มุมมองที่ของชาวตะวันตกต่อสตรีชาวตะวันออกที่สะท้อนผ่านจิตรกรรม Orientalism เป็นอย่างไรกันแน่ (โดยจะศึกษาจากงานของ Jean-Leon Gerome และ Jean-Auguste Dominiqe Ingres)

รายชื่อบรรณานุกรม

- Edward W. Said, Orientalism , Rooutled & Kegan Paul Ltd.,London,1978
- Linda Nochlin, "The Imaginary Orient" Art in America, 71, no. 5 (May 1983) : 118-131, 187, 189,191
- http://www.orientalistart.net, Orientalist Art of the Nineteenth Century
- http://www.orientalist-art.org.uk/gerome.html,Orientalist Art, Last update : Jan uary 2009

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อรายงาน

ชื่อรายงาน: การเขียนภาพแนว Orientalism ของศิลปินตะวันตกช่วงปลายศตวรรษที่ 19

หัวข้อรายงาน: ศิลปินตะวันตกช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไม่ว่าจะเป็นศิลปินแนวคลาสสิคหรือแนวโรแมนติก ต่างนิยมเขียนภาพแนว Orientalism เป็นอย่างมาก ที่แสดงภาพวัฒนธรรมต่างๆของชาวตะวันออก ภาพวิวทิวทัศน์ ศาสนสถาน พระราชวัง รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเหล่านั้น ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชนชาติ แต่ศิลปินตะวันตกอาจมีนัยยะแอบแฝงในการเขียนภาพเหล่านี้ ซึ่งอาจไม่เป็นความจริงตามภาพเขียนที่เห็นทั้งหมด อาจเป็นเพราะเรื่องการเมืองและการล่าอาณานิคมของชาวตะวันตกที่กำลังคุกคามประเทศต่างๆในยุคนั้น รายงานชิ้นนี้จึงต้องการบอกเหตุผลที่ศิลปินต้องการนำเสนอบนภาพเขียนแนว Orientalism

main research question: ภาพเขียนแนว Orientalism ของศิลปินตะวันตกมีนัยยะอะไรและนำเสนอความจริงมากน้อยเพียงใด

บรรณานุกรม จิตติมา อมรพิเชษฐ์กูล. ศิลปะอิมเพรสชั่นส์ของฝรั่งเศส ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2551

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : จิตรกรผู้หมกมุ่นอยู่กับปัญหาการแสดงความรู้สึก

หัวข้อรายงาน : วิวัฒนากรผลงานของแวนโก๊ะห์ ผู้ซึ่งเป็นจิตรกรที่ใช้ความรู้สึกเป็นแนวทางในการถ่ายทอดผลงาน และแรงบันดาลใจที่เค้าได้นำมาสร้างสรรค์ผลงาน ผลงานตั้งแต่ชิ้นแรกจนถึงเมื่อเค้าสิ้นผลงานเป็นเช่นไร


Main research question : ทำไมแวนโก๊ห์ถึงใช้ความรู้สึกถ่ายทอดออกมาในผลงาน มีการใช้เทคนิดศิลปะแบบไหนบ้างของแวน โก๊ห์ ความคิดของแวนแวนโก๊ห์ในช่วงต่างๆของชิวิต

บรรณานุกรม
- สุรพงษ์ บุนนาค, ซีวิตศิลปิน (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มิ่งมิตร, 2538)
- หนึ่งธิดา, วินเซนต์ แวน โกะ (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พิราบ, 2537)
- วีรวรรณ มณี, ภาพทิวทัศน์ในจิตกรรมตะวันตก (ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.2538)
- วีรวรรณ มณี, ภาพทิวทัศน์ในจิตกรรมตะวันตก เล่ม 2 (ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.2538)

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : Mixed Media ในงานสถาปัตยกรรมของAntonio Gaudi

หัวข้อรายงาน : ในงานออกแบบของAntonio Gaudi อย่างโบสถ์ Church of the Sagrada Familia ที่มีลักษณะเหมือนงานประติมากรรมที่ประกอบด้วยวัสดุหลายประเภท นำมาประดับตกแต่งเป็นลวดลาย เกิดสีสันแปลกตาคล้ายงานจิตรกรรม ซึ่งให้คุณค่าทั้งด้านแนวคิดของตัวสถาปนิกและคุณค่าทางความงาม ลักษณะงานที่ใช้วัสดุหลายประเภทมาผสมกันนี้ศิลปินในปัจจุบันเรียกว่า Mixed Media ดังนั้นรายงานนี้จึงต้องการศึกษาว่าความจริงแล้ว Mixed Media คืออะไร และ Mixed MediaในงานออกแบบของGaudi เป็นอย่างไร

Main research question: Mixed Media คืออะไร และ Mixed Media ในงานออกแบบของ Gaudi เป็นอย่างไร

บรรณานุกรม
Sweeney,James Johnson. Antonio Gaudi. New York: Praeger, 1970.
Collins,Georger. Antonio Gaudi. New York. George Braziller. 1960.
กำจร สุนพงษ์ศรี. ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก: ศิลปกรรมในคริสตศตวรรษที่18-19 ศิลปะโรโกโก, นีโอคลาสสิคอิสม์และเรียลลิสม์.กรุงเทพ: ภาควิชาศิลปศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2532.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : โลกแห่งสามมิติบนผืนผ้าใบของ Cézanne

หัวข้อรายงาน : ในภาพวาดจิตรกรถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านภาพ หากแต่ข้อจำกัดคือภาพวาดมีลักษณะแบนเรียบ ภาพวาดที่ออกมาจึงมองเห็นได้เพียงสองมิติเท่านั้น จิตรกรบางคนพยายามหาทางออกด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อทำให้ภาพวาดธรรมชาติเป็นธรรมชาติมากที่สุด Cézanne เป็นหนึ่งในจิตรกรโพสท์ อิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-Impressionism) ที่สร้างสรรค์ภาพวาดบนผืนผ้าใบซึ่งแบนเรียบให้มีความเป็นสามมิติสมจริง ภายใต้การมุ่งมั่นในแนวทางของตนเองเกือบทั้งชีวิตกว่างานจะได้รับการยอมรับ

“การวาดภาพจากธรรมชาติมิใช่การลอกเลียนแบบวัตถุ มันเป็นการตระหนักถึงความรู้สึกของผู้วาดต่างหาก”
(Cézanne)

Main Research Question: เทคนิคและกรรมวิธีอะไรที่ทำให้งานของ Cézanne เป็นเสมือนโลกสามมิติ

บรรณานุกรม
จิระพัฒน์ พิตรปรีชา. โลกศิลปะศตวรรษที่ 20. กรุงเทพ : เมืองโบราณ, 2545.
สุทัศน์ ยกส้าน. ศิลปินอัจฉริยะ. กรุงเทพ : สารคดี, 2550.
อัศนีย์ ชูอรุณ. 9 ศิลปินเอกของโลก. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์, 2529.
แบบอย่างศิลปะตะวันตก. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์, 2528.

Nicholas Wadley. Cezanne and his art. The Hamlyn, London.
New York.Sydney.Toronto. 1975.
Richard W.Murphy. The World of Cezanne. Time-Life Books, Amsterdam. 1984.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อรายงาน

ชื่อรายงาน : ศิลปะแบบ orientalism กับการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรม

หัวข้อรายงาน : จากแนวความคิดแบบ orientalism ที่เกี่ยวข้องกับสายตาของชาวตะวันตกที่มีต่อตะวันออก ด้วยวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของการล่าอาณานิคม และการเมือง แนวความคิดแบบ orientalism ได้สะท้อนอยู่ในงานศิลปะแขนงต่างๆ โดยเฉพาะงานจิตรกรรม หากแต่ผู้จัดทำมีความสงสัยว่าศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานในประเภทที่นำเสนอความเป็นตะวันออกนั้นอาจมีวัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียว แต่อาจเป็นความความหลงใหลในวัฒนธรรมตะวันออกอย่างแท้จริงอันเนื่องมาจากผลของการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรม โดยปราศจากทัศนคติของการมองตะวันออกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ด้อยกว่า

Main research question : การแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมแบบ orientalism อย่างไร

รายชื่อบรรณานุกรม
Said, Edward W.Orientalism. London: Routledge & Kegan Paul, c1978
Rosenblum, Robert.19th-century art / painting by Robert Rosenblum; sculpture by H.W.
Janson.New York: Harry N. Abrams, 1984

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : อิทธิพลของกล้องถ่ายรูปต่อศิลปะอิมเพรสชั่นนิสท์

ที่มาและความสำคัญของปัญหา : เนื่องจากในศริสต์ศตวรรษที่19 ได้มีการพัฒนาอุษาหกรรมเกิดขึ้นจึงมีการคิดค้นและผลิตของที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมากขึ้นหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นรถ,เรือ,รถจักรเป็นต้นอีอย่างก็คือกล้องถ่ายรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินในสมัยนั้นนำมาใช้ในการวาดภาพของตนไม่ว่าจะเป็นศิลปินแนวเรียวลิสติก ถึงศิลปินแนวอิมเพรสชั่นนิส ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ที่จะมีอิทธิพลและรูปแบบที่เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

คำถาม :
1. การใช้ภาพถ่ายกับผลงานศิลปะของโมเนต์ซึ่งเป็นรูปแบบของการใช้ภาพที่เป็นภาพการถ่ายวิวมาใช้ในการวาดภาพ

2. การใช้ภาพถ่ายกับผลงานศิลปะของเดอกาส์ เป็นรูปภาพแบบbird eye view ในการวาดภาพ

บรรณานุกรม
Bazin,Germain. Impressionist Painting in the Louvre. 2 nd ed. London : Thames and Hudson, 1964
Welton,Jude, Impressionism. Eyee\witness Art. London : Dorling Kindersley ,1993
ดร. จิตติมา อมรพิเชษฐ์กูล, ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ในฝรั่งเศส,กรุงเทพฯ:ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,2545
หนึ่งธิดา, คลอต โมเนต์,กรุงเทพฯ: พิราบ สำนักพิมพ์ , 2537

------------------------------------------------------------------------------------------------

การแฝงแนวคิดและรูปแบบทางคริสตศาสนาในงานของ Jacques Louis David

ยกตัวอย่างงานของ David มาภาพหนึ่งคือ ภาพ The Death of Marat ที่ตัว David เองมีการวาดภาพของ Marat ที่อิงไปยังงานในยุคก่อนหน้านี้ คือ ภาพของ Caravaggio "The Emtombment of christ" และงาน ของ Michelangelo "Pieta" การวางตัวของ Marat กับการวางตัวของพระเยซูมีลักษณะท่าทางที่เหมือนกัน การอิงตัวงานของ David ที่อิงไปกับพระเยซูอาจมีการแฝงนัยยะบางสิ่งเอาไว้ จึงเปรียบ Marat กับพระเยซูและอาจวิเคราะห์เปรียบเทียบภาพนี้กับภาพอื่นๆที่เป็นหัวข้อเดียวกันกับงานของDavid ทั้งในแง่ความคิดและการวิจารณ์ศิลปะ (space,composition)

บรรณานุกรม
Jacques-Louis David / Luc de Nanteuil
Jacques-Louis David's Marat / edited by William Vaughan, Helen Weston
David and neo-classicism / by Sophie Monneret
Caravaggio, 1571-1610 / Gilles Lambert
Caravaggio / John T. Spike
Quoting Caravaggio : contemporary art, preposterous history / Mieke Bal
The Age of Caravaggio New York : Metropolitan Museum of Art
Sexuality and form : Caravaggio, Marlowe, and Bacon / Graham L. Hammill
Michelangelo : sculptor, painter, architect / Charles Sala
Michelangelo, the Pietas / Antonio Paolucci ; photographs by Aurelio Amendola
Michelangelo : paintings, sculpture, architecture / by Ludwig Goldscheider.

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ ศิลปะเรียลลิสม์กับภาพถ่าย

คำถามหลัก ศิลปะเรียลิสม์คือการถ่ายทอดความจริง หรือ สิ่งที่เป็นปัจจุบันออกมาเป็นภาพ เช่นเดียวกับภาพถ่าย ดังนั้นภาพถ่ายจะเรียกว่าเป็นศิลปะเรียลลิสม์ได้หรือไม่

ประเด็นย่อยๆ ประเด็นความเหมือน ความต่างของศิลปะเรียลลิสม์ยุคกูร์เบต์กับศิลปะภาพถ่ายปัจจุบันที่มีความนิยมแพร่หลายเหลือเกิน การถือกำเนิดของภาพถ่าย จะเรียกว่าเป็น การปฏิวัติทางศิลปะ ได้หรือเปล่า

บรรณานุกรม
Rubin, James Henry. Realism and social vision in Courbet and Proudhon Rosenblum, Robert. 19th century art
http://19thc.blogspot.com/
http://www.huntfor.com/arthistory/

-------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวเรื่อง: การวิพากษ์วิจารณ์ ภาพเปลือยของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ภาพเปลือยเป็นที่คุ้นเคยกันดีของเหล่าผู้ชมและนักวิจารณ์ แต่เมื่อภาพเปลือยของศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชันนิสต์ได้ปรากฏออกสู่สายตาสาธารณะชน กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เสื่อมเสีย ผิดศีลธรรม เช่น ภาพอาหารกลางวันบนหญ้า และ โอลิมเปีย ของศิลปิน มาเนต์มาเนต์ถูกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังจากภาพถูกปฏิเสธจากซาลอง แต่ในขณะเดียวกันภาพเปลือยของ กาบาเนล(กำเนิดวีนัส) และโบดรี้(ไข่มุขและคลื่น) กลับได้รับการต้อนรับจากซาลอง แถมนักวิจารณ์ยังไม่มีข้อกังขาในความไม่เหมาะสม

main research question : ภาพเปลือยเหมือนกัน อยู่ในช่วงสมัยเดียวกัน ทำไมภาพเปลือยของอิมเพรสชันนิสต์จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

บรรณาณุกรม :
Bazin, Germain. Impressionist paintings in the Louvre. London: Thames and Hudson, 1958.

Hamilton, George Heard. Manet and his critics. New Heaven: Yale University Press, 1986.

Impressionist and post-impressnist masterpieces at the Museed'Orsay. New York : Arch Cape Press, 1989.Kent . Manet 1832-1883. Grange Book, 2005.

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน กระบวนการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมประเภท Realism

รายละเอียดเกี่ยวกับหัวข้อ
ในการสร้างสรรค์งานประเภท Realism มีหลักสำคัญอยู่ว่าเป็นภาพที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ณ ขณะปัจจุบันที่ผู้เป็นจิตรกรได้ไปพบเห็นหรือมีความประทับใจในเหตุการณ์เหล่านั้น โดยการที่จะถ่ายทอดลักษณะที่เหมือนจริงได้นั้นจะต้องการสังเกต เช่นเดียวกกับแนวทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เหตุที่เลือกประเด็นนี้มาศึกษาเพราะต้องการที่จะทราบกระบวนการ วิธีคิดและแนวทางการสร้างสรรค์งานศิลปะประเภท Realism โดยจะหยิบยกงานจิตรกรรมของ Ford Madox Brown ชื่อภาพว่า Work มาใช้ในการวิเคราะห์

คำถามหลักของการศึกษา
กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะประเภท Realism มีปัจจัยอะไรบ้างและการจัดวางองค์ประกอบรายละเอียดของภาพ

บรรณานุกรม
Eisenman, Stephen F. Nineteenth century art : a critical history. New York : Thames and Hudson, c2007.
รัฐ จันทร์เดช.ประวัติศาสตร์ศิลป์กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู, 2523.

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน: ความเป็นจริงในสิ่งที่ตาเห็นกับการสร้างงานศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์

หัวข้อรายงาน: ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงสิ่งที่ตาเห็น และถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานโดยไม่มีการปรุงแต่ง เป็นการเก็บความประทับใจและแสดงออกถึงฝีแปรงอันรวดเร็วเนื่องจากถูกกำจัดด้วยเรื่องของช่วงเวลา ณ ขณะหนึ่งที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม ดังนั้นความงามที่ปรากฎอยู่ในงานน่าจะเป็นการใช้สีและทีแปรงที่แสดงความตั้งใจของศิลปินนั่นเอง รายงานนี้ต้องการนำเสนอถึงการเปลี่ยนแปลงในการสร้างงานศิลปะให้ต่างไปจากขนบเดิมที่ยังคงยึดติดกับเรื่องของศาสนาและประวัติศาสตร์ ให้หันมาสนใจในความงามของธรรมชาติและสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเป็นจริงสูงสุด

Main research question: อะไรคือความงามในศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์

บรรณานุกรม :
วีรวรรณ มณี.จิตรกรยุโรปในศตวรรษที่ 19.กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2528.
หนึ่งธิดา.วินเซนต์ แวน โกะ (Vincent Van Gogh).กรุงเทพฯ : พิราบ, 2546.
อัศนีย์ ชูอรุณ.ประวัติศาสตร์ศิลปะยุคฟี้นฟูและยุคใหม่.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2537

------------------------------------------------------------------------------------------------

เอกลักษณ์ในงานของมาเนท์

ศิลปะเรียลิสติคหมายถึงกลุ่มศิลปินชาวฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งในราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมี ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงปารีส มีแนวคิดการสร้างงานเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาขัดแย้งอย่างรุนแรง กับอุดมการณ์ของศิลปินโรแมนติค ซึ่งนิยมสร้างผลงานแบบเพ้อฝัน และใช้อารมณ์ส่วนตัวของศิลปินเป็นสำคัญ ศิลปินเรียลลิสม์ มีความเห็นว่า ความจริงทางโลกนั้นมีเรื่องราวเนื้อหา หลากหลาย เป็นสัจธรรมที่ไม่จำเป็นต้องตกแต่ง เสริมสร้างจินตนาการให้ยุ่งเหยิง เพราะมีความ ถูกต้องไร้มายา และมีระเบียบ กฏเกณฑ์ในตัวอยู่แล้วศิลปินมีหน้าที่สร้างผลงานของตน ให้มีเรื่องราวเนื้อหาสอดคล้อง กับสภาพสังคมและชีวิต ที่อยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับเขา ควรเสนอ เรื่องราวของมหาชนส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในห้วงแห่ง ความอยุติธรรมของสังคม ศิลปินกลุ่มเรียลลิสม์ปฏิเสธ ที่จะสร้างผลงานเพื่อรับใช้ศาสนา ลัทธิทางการเมืองหรือชนชั้น สูงและนายทุน ดังศิลปินในยุคก่อน

มาเนท์ก็เป็นศิลปินในกลุ่มนี้เช่นกันซึ่งลักษณะงานของมาเนท์นั้นก็จะมีความโดดเด่นในความเป็นตัวของตัวเองอยู่เช่นกัน ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะศึกษาว่างานศิลปะของมาเนท์นั้นมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างจากงานของศิลปินท่านอื่นในกลุ่มนี้อย่างไร เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจกับเอกลักษณ์หรือตัวตนของมาเนท์ที่แสดงออกมาผ่านงานศิลปะได้มากยิ่งขึ้น

คำถามหลัก เอกลักษณ์ของงานศิลปะของมาเนท์คืออะไร

บรรณานุกรม
Pual Hamlyn. “Manet”. London , 1967
Macia Werner. “Pre-Raphaelite Painting and Nineteenth-Century Realism. Cambridge University, 2005

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อรายงาน

ชื่อรายงาน : ระนาบที่สยบการเคลื่อนไหว กับสามเหลี่ยมแห่งอำนาจ:ความสัมพันธ์ในองค์ประกอบศิลป์ต่อความหมายภาพจิตรกรรมในช่วง Neo-classicism – Romanticism

หัวข้อรายงาน: การอ่านและตีความจากภาพจิตรกรรมล้วนต้องใช้หลายๆองค์ประกอบศิลป์เข้ามาเพื่อ วิเคราะห์ วิพาก หรือวิจารณ์ จนกระทั่งเกิดเป็นเอกภาพ โดยนัยรูปแบบของการจัดวางวัตถุที่แสดงถึง รูปร่าง รูปทรง และ มวลในภาพจิตรกรรมมีส่วนสำคัญอย่างเช่น การวางองค์ประกอบในแนวระนาบ หรือ การวางในรูปสามเหลี่ยม เพราะจิตรกรแต่ละคนเลือก และมีจุดประสงค์ที่จะวางตำแหน่งของภาพที่สอดคล้องไปกับตัววาทกรรมต่างๆ ในที่นี้ขอใช้ภาพจิตรกรรมในช่วง Neo-classicism – Romanticism ถือว่าเป็นช่วงที่ต่อกันของลักษณะศิลปะ เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เป็น รสนิยม ของศิลปินที่ต้องการจะสื่อความออกมาถึงผู้ชมจึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอย่างเช่นการเปลี่ยนจากการทำงานในเชิงอุดมคติมาเป็นลักษณะในงานปัจเจกชนมากขึ้น ถึงอย่างไรก็ตามศิลปินล้วนที่จะแสดงบทบาทของความต่อเนื่องในการสะท้อนความคิดของผู้คนในสังคมมาโดยตลอด รายงานชิ้นนี้จึงต้องการที่จะศึกษาการตีความจากการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ และส่วนปลีกย่อย ที่แสดงความต่อเนื่องของ รสนิยม ในตัวศิลปินและผู้เสพย์อันเป็นผลสะท้อนการเคลื่อนไหวของแนวคิดในช่วงเวลานั้น ในฐานะของนักวิเคราะห์ วิพาก และวิจารณ์ ปัจจุบัน

Main research question: องค์ประกอบเรื่องการจัดวาง เป็นรสนิยมความชอบที่ศิลปินต้องการจะนำมาใช้สื่อความหมายต่อผู้ชมโดยลักษณะการวางที่แตกต่างกันนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพจิตรกรรมช่วงNeo-clssic-Romantic มีความแตกต่างกันอย่างไร และเหมือนกันอย่างไรทั้งในด้านการตีความ และความรู้สึกของผู้ชม

ผลงานที่จะวิเคราะห์ :
นีโอคลาสสิค
1.Jean-Auguste-Dominiques Ingres,Grande Odalisque:1814
2.Jacques-Louise David,The Death of Marat:1793
3.Antoine-Jean Gros,Napoleon on the Battlefield at Eylan:1808

โรแมนติค
1.Ferdinand Victor Eugène Delacroix,Liberty Leading the People:1830
2.Théodore Gericault,The Raft of the Medusa:1819

บรรณานุกรม
ฉัตร์ชัย อรรถปักษ.องค์ประกอบศิลปะ. กรุงเทพฯ : วิทยพัฒน์. 2548.
เฉลิมภรณ์ ชูอรุณ.ศิลปกรรมสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2549.
ธิติมา นรัตถรักษา. “บันทึกโศกนาฏกรรมบนผืนผ้าใบ” . อาร์ท เรคคอร์ด. ปีที่1 ฉบับที่8. 2537. 48-49.
นิคอเละ ระเด่นอาหมัด.ทฤษฏีจิตรกรรม.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2543.
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์.ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์. 2551.
สายัณห์ แดงกลม. “วาทกรรมหักเห:สู่พื้นที่ว่างในภาพ”.วารสารหอศิลป์. ปีที่2 ฉบับที่1.?. 44-57.
http://www.artgazine.com/
www.smarthistory.org/romanticism-in-france.html

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : ราคะจริต(erotic) กับความสวนทางในค่านิยมคติธรรมเนื่องในแนวความคิดของศิลปะนีโอคลาสสิค

หัวข้อรายงาน : ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษ ที่ 19 นั้นไม่ใช่แสงแรกที่แท้จริงของศิลปะแห่งความสูงส่ง อันเป็นที่มาของการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1748 หากแต่ควรพูดว่าเป็นรุ่งอรุณของความเฟื่องฟูในแนวงานศิลปะแบบใหม่ หรือที่เรียกศิลปะ “Neoclassic” เห็นจะสมควรกว่า เพราะในความเป็นจริง ศิลปะนีโอคลาสสิคนั้นก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ราวปลายคริสต์ศวรรษที่ 18 อันมีแนวงานที่ต่อเนื่องมาจากรูปแบบงานศิลปะร็อคโกโก ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นความชดช้อย ให้อารมณ์ที่บางเบาสวยงาม หากเปรียบกับมนุษย์แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากความงามของหญิงสาว ด้วยบรรยากาศเริ่นเริงสดใสในการใช้สีสรรอ่อนหวานกับนัยทางโลกีย์วิสัยที่แฝงอยู่ในภาพเสมอจนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และเสมือนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของแนวงาน หากเมื่อมีกระแสความคิดใหม่ที่เน้นในเรื่องจริยธรรม คติธรรม ความสูงส่งและการโหยหาอดีตที่สมบูรณ์แบบในสมัยรุ่งเรื่องของอารยธรรมกรีก-โรมัน อันจำกัดความอยู่ภายใต้ชื่อนีโอคลาสสิคที่ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ จนทำให้ความนิยมในแบบร็อคโคโคนั้นเสือมไปในที่สุด หากแต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าภายในความสูงส่งที่อวยอ้างนั้น ไม่ปรากฎสิ่งที่เรียกว่า “ราคะจริต (erotic)”อย่างแน่แท้ ในเมื่อแนวงานดังกล่าวเป็นรสนิยมในสมัยก่อนหน้า หรือจะมั่นใจได้ว่าความerotic ภายในภาพได้ตายไปแล้วจริง ตามแนวงานศิลปะร็อคโกโกที่เสื่อมลง เช่นนั้นเมื่อเกิดความไม่มั่นใจ สมควรแล้วหรือถ้าศิลปะนีโอคลาสสิคจะยกย่องและเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปะแห่งความสูงส่ง รายงานชิ้นนี้จึงอยากวิเคราะห์ความขัดแย้งจากวาทกรรม Neoclassicism กับผลงานจิตรกรรมที่ปรากฎออกมาเป็นหลักฐานการวิเคราะห์เหล่านี้

Main reseach question : แท้ที่จริงแล้วภาพจิตรกรรมในศิลปะนีโอคลาสสิคปรากฏความ erotic อยู่หรือไม่

บรรณานุกรม :
วีรวรรณ มณี. จิตรกรยุโรปในศตวรรษที่ 19. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2528.
วีรวรรณ มณี, ผู้รวบรวม. ภาพทิวทัศน์ในจิตรกรรมตะวันตก. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
Toman, Rolf. Neoclassicism and Romanticism. Oldenburg ; Neue Stalling, 2000.

-----------------------------------------------------------------------------------------------

Jacques Louis David กับการปฏิวัติฝรั่งเศส

โดยจะพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสว่ามีสาเหตุมาจากอะไรและเหตุผลอะไรที่ทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิวัติ Jacques Louis David เข้ามามีบทบาท มีแนวคิดต่อต้านกับอำนาจที่ไม่ชอบทำและมีผู้ร่วมอุดมการณ์ด้วยแต่สุดท้ายต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้น โดยใช้ภาพ the dead of Marat ช่วยในการอธิบายทั้งในด้านประวัติศาสตร์และการวิจารณ์ศิลปะ

คำถาม : ภาพ The Dead of Marat ของ Jacques Louis David สื่อถึงแนวคิดอะไรต่อการปฎิวัติในฝรั่งเศส และส่งผลอย่างไร ?

บรรณานุกรม
Nanteuil, Luc de. Jacques-Louis David .New York : H.N. Abrams, 1990.
Monneret, Sophie. David and neo-classicism . Paris : Terrail, c1999.
Helen Weston. Jacques-Louis David's Marat. New York : Cambridge University Press, c2000.
จรัล ดิษฐาอภิชัย. การปฏิวัติฝรั่งเศส . กรุงเทพฯ : เบรนเซ็นเตอร์, 2542.
อาทิตย์ทิพอาภา, พระองค์เจ้า. ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส . กรุงเทพฯ : โฆษิต, 2549.

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : จากผลงาน “The Absinte Drinker(1859)” สู่ “Bar at the Folies- Berger(1881)” 22 ปี กับพลวัตการเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลงาน “Edouard Manet”

หัวข้อรายงานการศึกษา : สองทศวรรษกว่า กับชีวิตศิลปินที่โด่งดังคนหนึ่งในกลุ่มอิมเพรสชันนิสต์ในฝรั่งเศสนามว่า มาเนต์ หรือเอดูอารด์ มาเนต์ เขาผู้นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปินตัวอย่างของวงการศิลปะในสมัยนั้นที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นศิลปินแห่งภาพชีวิตใหม่ ด้วยผลงานทางด้านศิลปะของเขาได้มีวิวัฒนาการณ์ตามรูปแบบยุคสมัยอย่างเห็นได้ชัดเจนด้วยเหตุนี้เองผู้ศึกษาจึงเห็นว่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปินผู้นี้มีความน่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีนักวิชาการ หลายๆท่านได้ศึกษาและตีพิมพ์ถึงเรื่องราวของมาเนต์ไว้มากมาย แต่ในที่นี้ผู้ศึกษาจักขอหยิบยกประเด็นที่ผู้ศึกษาสนใจนั้นคือภาพวาดที่มาเนต์ได้วาดขึ้นในปี 1858-1859 ชื่อว่า “The Absinte Drinker” และทิ้งระยะห่างยี่สิบปี กับภาพที่ชื่อ “Bar at the Folies- Berger” ในปี 1881-1882

โดยประเด็นของการศึกษาคือเปรียบเทียบเทคนิคผลงาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผลงานของศิลปินที่สะท้อนออกมาจากภาพวาดโดยศึกษาพร้อมกับบทความของนักวิชาการ และวิเคราะห์ถึงความแตกต่างของภาพสองภาพที่เกิดขึ้นให้เห็นถึงบริบททางสังคมของมาเนต์ในแต่ละช่วงของการเป็นศิลปินรวมถึงอิทธิพล เทคนิค และความใกล้ชิดศิลปินคนอื่นที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับมาเนต์ ผู้ศึกษามีความคิดว่าเรื่องราวที่จะศึกษานี้จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ศึกษาเองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องราวของศิลปินมาเนต์รวมทั้งผลงาน ซึ่งนับว่าเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ผู้ศึกษาชื่นชม

Main reseach question : ผลงานทางศิลปะของทั้งสองภาพ“The Absinte Drinker(1859)” “Bar at the Folies- Berger(1881)” สะท้อนมุมมองทางความคิด การเปลี่ยนแปลง เทคนิค การนำเสนอผลงานศิลปะ และชีวิตของมาเนต์อย่างไรบ้าง ?

บรรณานุกรม :
จิตติมา อมรพิเษฐ์กูล. ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสในฝรั่งเศส. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551.
อารี สุทธิพันธุ์. ศิลปนิยม. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.พิมพ์ครั้งที่ 4, 2535.
http://witcombe.sbc.edu/ARTHLinks5.html
http://www.arthistory.net/
http://www.artchive.com/artchive/M/manet.html

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : ศิลปินหญิงกับศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์

หัวข้อรายงาน : ผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม เศรษฐกิจ และปรัชญาชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องเสรีภาพ และปัจเจกชน รวมถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ได้ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะในยุคนี้ เกิดเป็นศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ ดังจะเห็นได้ว่าในสมัยศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์นี้ ปรากฏศิลปินหญิงที่มีบทบาท และมีความสามารถมากในวงการศิลปะหลายคน ซึ่งไม่ปรากฏในยุคก่อนๆ เช่น ศิลปะนีโอคลาสสิค
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้องการทราบถึงบทบาทของศิลปินหญิงในยุคนี้ และแรงบันดาลใจของตัวศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ต่อตัวศิลปิน และการแสดงออกทางผลงานศิลปะของศิลปินเหล่านั้น
การให้ความยอมรับในผลงาน และตัวของศิลปินหญิงในยุคนี้ว่ามีมากน้อยเพียงใด และผลงานของศิลปินหญิงเหล่านี้นั้นส่งอิทธิพลต่อทรรศนคติ ของคนทั่วไปอย่างไร และการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินในยุคต่อไปอย่างไร

คำถามหลัก : ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่งอิทธิพลทางทรรศนคติ และการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินหญิงในยุคนี้อย่างไร และเพราะเหตุใด การให้การยอมรับของคนทั่วไป และศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ด้วยกันเอง ว่าให้การยอมรับมากน้อยเพียงใด และทำไม

บรรณานุกรม

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2549). แมรี คาซาท . แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%97 (1 สิงหาคม 2552)

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (มปป.). ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ . แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%8C (1 สิงหาคม 2552)

Denvir, Bernard. Impressionism : the painters and the paintings . New York : Millard Press, 1917.

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : Pride and Prejudice กับประเด็นที่ขัดแย้งระหว่างความเป็นวรรณกรรม Romantic หรือ Realistic??

หัวข้อรายงาน : Pride and Prejudice เป็นวรรณกรรมคลาสสิก ประพันธ์โดยJane Austen นักเขียนชาวอังกฤษผู้ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง ค.ศ.1775 - 1809 งานเขียนชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวในปีค.ศ.1795 ซึ่งเป็นช่วงสมัยของการเกิดแนวคิดแบบRomanticlism

Pride and Prejudice เป็นเรื่องราวของหญิงสาวชนบทของประเทศอังกฤษนช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 ในแต่ละตัวละครผู้แต่งได้ให้อัตลักษณ์ที่แตกต่างและเด่นชัด โดยเฉพาะลักษณะของหญิงสาวในแบบต่างๆ ที่ซึ่งจะพบได้โดยทั่วไปในสังคมชนบทของอังกฤษ ณ ขณะนั้น ตัวสถานที่ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในเรื่องล้วนมีอยู่ จริงในประเทศอังกฤษ

จากภาพรวมของเรื่องราวที่กล่าวไปข้างต้น ในความคิดเห็นของข้าพเจ้ามีความคิดว่า วรรณกรรม ชิ้นนี้ค่อนข้างมีความเป็น Realistic ค่อนข้างมาก แต่จากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัววรรณกรรม Pride and Prejudice หรือจากข้อมูลของผู้ประพันธ์ มีความคัดแย้งในเรื่องของการจัดประเภทของวรรณกรรมชิ้นนี้ คือ ส่วนหนึ่งมีการจัดให้วรรณกรรมอังกฤษเล่มนี้อยู่ในประเภท Romanticlism และอีกส่วนหนึ่งจัดให้อยู่ใน กลุ่มของวรรณกรรมประเภท Realism ดังนั้นประเด็นสงสัยจึงเกิดขึ้น

Main Question : วรรณกรรมPride and Prejudice ด้วยตัวของเนื้อหาแล้วสามารถจัดอยู่ในกลุ่ม ของแนวคิดประเภทไหน?? ระหว่าง Romanticlism หรือ Realism

บรรณานุกรม :
เจน ออสติน : เขียน ; จูเลียต : แปล จาก Pride and Prejudice. พิมพ์ครั้งที่ 5 .กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์ ,2546
เปลื้อง ณ นคร, ปริทรรศน์แห่งวรรณคดีอังกฤษ/โดย นายเปลื้อง ณ นคร.กรุงเทพฯ : รวมสาส์น,2529
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, ประวัติศาสร์ศิลปะตะวันตก ฉบับสมบูรณ์, กรุงเทพฯ : วาดศิลป์,2549
เสริมจิต สิงหเสนี, ความรู้เบื้องต้นในเรื่องวรรณคดีอังกฤษและวรรณคดีอเมริกัน, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง,2518

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อรายงาน

ชื่อรายงาน: บทบาทเรื่องเพศ (Gender) ในภาพเขียน “The Oath of Horatii,1784” โดย Jacques-Louis David จิตรกรแนว Neo-Classicism ในฝรั่งเศส

Topic : ศิลปะแบบ Neo-Classicism ในฝรั่งเศสในช่วงปฏิวัตินั้น เน้นในเรื่องของปรัชญาความดีงามร่วมกับแนวความคิดในเรื่องชาตินิยม ซึ่งถือเป็นการให้คุณค่าเรื่องความดีในสมัยนั้น ที่เกี่ยวกับความรักชาติ(Patriotism) และความดี(Virtue) ในการสร้างอุดมคติว่าควรเสียสละเพื่อชาติ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หมายถึงให้ความสำคัญแก่ประชาชนที่เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ มากกว่าพวกชนชั้นปกครองที่เป็นชนส่วนน้อย

ศิลปินกลุ่ม Neo-Classicism จึงตอบสนองต่อการสร้างอุดมคติแบบนี้ จึงใช้ศิลปะที่มีต้นแบบที่มีเรื่องราวในด้านเนื้อหาและฉาก Classic ซึ่งก็คือ Roman เนื่องจากจักรวรรดิโรมันนั้นปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐมาตีความใหม่ ในด้านรูปแบบศิลปกรรมเน้นด้านองค์ประกอบและรูปแบบการเน้นในกายวิภาคที่สมจริงรวมถึงการให้ความสำคัญกับเส้นรอบนอก(Out Line) เพื่อแสดงความเป็นอุดมคติแบบ Greek- Roman Art ที่มีหลักเกณฑ์ที่ถือเป็นแนวการสร้างศิลปกรรมคือ ความสูงส่งสง่างาม(Noble),ความเรียบง่าย(Simplicity) และไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก(Calm grandeur) อันหมายถึงการให้ค่าของเหตุและผลมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก

ซึ่งศิลปินกลุ่ม Neo-Classicism ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงมากในฝรั่งเศสในช่วงปฏิวัตินั้นได้แก่ Jacques- Louis David ที่มีงานศิลปกรรมที่เสนอภาพความเป็นอุดมคติแบบ Greek และ Roman ที่มีเนื้อหาในการสร้างอุดมคติเกี่ยวกับในการเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันนั้นการสร้างอุดมคติเกี่ยวกับความเสียสละเพื่อส่วนรวมโดยใช้รูปแบบ Neo-Classicism ของ Jacques- Louis David ก็ได้มีแนวความคิดเรื่อง Gender เกี่ยวกับบทบาทเรื่องเพศชายเป็นใหญ่ ในตัวอย่างของภาพเขียน “The Oath of Horatii,1784” ที่แสดงถึงการที่เพศชายต้องไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกหรือแสดงความรู้สึกแบบข่มอารมณ์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ มากกว่าเรื่องส่วนตัวและความรู้สึกของตนเอง แสดงให้เห็นว่าเพศชายนั้นมีความเป็นเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ในขณะที่เพศหญิงนั้นมีการแสดงความเศร้าโศกเสียใจ แสดงอารมณ์ส่วนตัวออกมา

Main Research Question:
การแสดงความรู้สึกที่แตกต่างกันของภาพของชายและหญิงใน “The Oath of Horatii,1784” สะท้อนสภาพสังคมของโรมันที่ชายเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นแนวคิดในเรื่องคู่ตรงกันข้ามที่มองว่าสามารถรับรู้ถึงสิ่งหนึ่งได้โดยการเปรียบเทียบอีกสิ่งหนึ่ง แนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิดความสูงต่ำทางลำดับชั้น ทำให้มีฝ่ายหนึ่งที่ต้องมีสถานะต่ำกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการผูกติดกับเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่มีฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าสร้างข้อกำหนดบังคับต่ออีกฝ่ายในด้านบทบาทหน้าที่ภายใต้โครงสร้างทางสังคมโดยผ่านระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคมวัฒนธรรม

รายชื่อบรรณานุกรม :

กำจร สุนพงษ์ศรี. ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก : ศิลปกรรมในคริสตศตวรรษที่ 18-19 : ศิลปะโรโกโก, นีโอคลาสสิกอิสม์ และเรียลลิสม์.กรุงเทพฯ : ภาควิชาศิลปศึกษา จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2532
จารุพรรณ ทรัพย์ปรุง.ประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตก.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา,
2548.
P.W.K. Stone . The art of poetry 1750-1820 : theories of poetic compositiion and style in the
late Neo-Classic and early Romantic periods . London : Routledge and Kegan Paul,
c1967
Luc de Nanteuil , Jacques-Louis David .New York : H.N. Abrams, 1990
Robert Rosenblum .19th-century art / painting; sculpture. H.W. Janson New York : Harry N.
Abrams, 1984


-----------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน: วิเคราะห์ผลงานของศิลปิน Impressionist ที่ได้รับผลกระทบของสังคมและการเมือง

หัวข้อรายงาน : ทุกสิ่งบนโลกล้วนมีที่มา งานศิลปะก็เป็นอีกสิ่งที่หากขาดแรงบันดาลใจในการสรรค์สร้าง ก็ไม่สามารถเกิดเป็นงานที่มีความหมายลึกซึ้งได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากจะค้นคว้าและนำเสนอในรายงานฉบับนี้จึงเกี่ยวกับผลงานของศิลปิน Impressionist ที่มีความหมายแฝงไปถึงผลกระทบของเหตุการณ์ทางสังคมในอดีต ซึ่งเกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมายในแต่ละสมัย เช่น การปฏิวัติทางการเมือง การทำสงคราม การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และอีกหลายๆเหตุการณ์ ที่มีอิทธิพลต่อผลงานของศิลปิน และอาจจะสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านี้อีกด้วย

Main research question: อยากทราบถึงผลกระทบต่างๆของเหตุการณ์ที่ถูกแฝงไว้ในงานศิลปะของเหล่าศิลปิน

บรรณานุกรม:
เอกสารประกอบการเรียน French Impressionist ศิลปินอิมเพรชชั่นนิสต์ในฝรั่งเศส
เรียบเรียงโดย ดร.จิตติมา อมรพิเชษฐ์กูล

The post impressionist โกแกง : ริ้วลายแห่งรักและเสรีภาพ เรียบเรียงโดย กิติมา อมรทัต
The post impressionist เรอนัวร์ : ลีลาชีวิตอันรื่นรมย์ เรียบเรียงโดย กิติมา อมรทัต
The post impressionist ปิซาร์โร : งดงามในความเป็นไป เรียบเรียงโดย กิติมา อมรทัต
The post impressionist โมเนต์ : พราวพร่างกลางแสงตะวัน เรียบเรียงโดย สุรพงษ์ บุนนาค

------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรายงาน : Fashion in 19th

หัวข้อรายงาน : fashion ในยุค 19th ที่ทุกคนนึกถึงคือ แนว Victorien Style แล้วความเป็น Victorien Style มันมาจากแนวคิดสิ่งใด แล้วทำไมสไตล์งานถึงได้รับความนิยมและมีลักษณะเฉพาะตัว แนวคิด โรแมนติค ได้เข้ามามีบทบาทแล้วส่งผลต่อ Victorien Style ในรูปแบบใดบ้างแล้วดีไซเนอร์ในยุคนั้นมีใครบ้าง และในปัจจุบันมีวงการแฟชั่นทีไหนบ้างที่ยังคงรักษาความเป็น Victorien Style ไว้

Main research question : ความเป็น Victorien Style ใน ยุค 19th มันคือสิ่งใด แนวคิดจากไหน ส่งผลต่อยุคต่อมาอย่างไร?


บรรณานุกรม
-19 th Century Fashion], Accessed 2 August 2009, , Available http://www.angelfire.com/ar3/townevictorian/victorianfashion.html
- Blum, Stella. VICTORIAN FASHIONS AND COSTUMES FORM HARPER’S BAZAR 1867-1898. New York: Dover Publications, 1974.
- Blum, Stella. Paris fashions of the 1890s. New York: Dover Publications, 1984.

------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : การวาดภาพแนวคริสต์ศาสนาตาม new testament และสัญลักษณ์ คริสต์ศิลป์ ในยุค19th

หัวข้อรายงาน : ช่วงยุคก่อน19thภาพแนวคริสต์ศิลป์เป็นที่นิยมวาดเป็นจำนวนมาก แล้วทำไมกันเหล่าช่วงยุค19thศิลปินจึงไม่นิยมวาดภาพคริสต์ศิลป์อีกต่อไป แล้วภาพที่ออกมาในแนวดังกล่าวจะเป็นเช่นไร ระบบภาพที่วาดออกมาไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์หรือรูปแบบเดิมยังคงใช้ต่อเนื่องมาถึงยุค19thหรือไม จะกล่าวถึงภาพที่ศิลปินในยุคดังกล่าวนำมาวาดและเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ในภาพเดียวกัน

Main research question : ทำไมในยุค19thถึงไม่นิยมวาดภาพแนวคริสต์ศาสนาและภาพคริสต์ศาสนาในยุค19thมีลักษณะเป็นเช่นไร

บรรณานุกรม
- วีรวรรณ มณี, จิตรกรยุโรปในศตวรรษที่19 (กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2528)
- กุลวดี มกราภิรมย์, เครื่องหมายและสัญลักษณ์ในคริสตศิลป์ (กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์, 2549)
- พระคริสตธรรมใหม่ The books of the new testament
- วีรวรรณ มณี, ภาพทิวทัศน์ในจิตรกรรมตะวันตก (ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.2538)
- เจษฎา ทองรุ่งโรจน์, ราฟาเอลปัจฉิมบทแห่งสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (กรุงเทพมหานคร:สุขภาพใจ,2549)

-----------------------------------------------------------------------------------------------

ความนิยมที่กลับด้านระหว่างภาพวาดเหมือนตัวบุคคล (portrait) และภาพถ่าย

Topic : ในสมัยก่อนนั้นการจะมีภาพที่เสมือนตัวจริงหรือภาพเหมือน (portrait) นั้นจะต้องเป็นการวาดมาจากปลายภู่กันลงบนแผ่นกระดาษและต้องอาศัยทักษะทางศิลปะที่เชี่ยวชาญในการวาดภาพเหมือนบุคคล ซึ่งแน่นอนว่าการจะมีภาพเหมือนก็ต้องอาศัยเงินที่สูงด้วยเช่นกันเพราะฉะนั้นก่อนสมัยศตวรรษที่ 19 ก็จะมีแต่พวกชนชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างศิลปินเพื่อวาดภาพเหมือนตามที่ตนต้องการ แต่พอมาในศตวรรษที่ 19 ในปี 1839 ก็ได้เกิดนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับศิลปะ นั้นก็คือ Daguerreotype โดย Louis Daguerre ซึ่งเป็นการทำให้ภาพเหมือนจริงปรากฏขึ้นบนแผ่นทองแดงที่ชุบเงินเอาไว้ และต่อมาก็ได้ขายลิขสิทธิ์ให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส และรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้เผยแพร่นวัตกรรมนี้แก่ประชาชนผู้สนใจฟรีโดยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ใด ๆ จึงให้ทำให้เป็นที่นิยมมากเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีภาพเหมือนได้อย่างเดียว ทำให้ชนชั้นกลางก็มีสิทธิ์ด้วยเช่นกัน และต่อมาถึงในศตวรรษที่ 20 ก็ได้เกิด Photo Realism ขึ้น คือการย้อนกลับไปใช้การวาดภาพพู่กันระบายสีเพื่อให้เหมือนกับภาพถ่ายมากที่สุดทั้งด้านแสงเงาและสัดส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นการย้อนสลับสับเปลี่ยนความนิยมระหว่างภาพถ่ายและภาพวาด

Main question : ความนิยมของภาพเหมือน (portrait) ในยุคศตวรรษที่ 19 ก่อนการเกิดนวัตกรรม Daguerreotype ผู้คนชนชั้นสูงเท่านั้นที่มักจะมีภาพเหมือนของตน จนภายหลังเกิด Daguerreotype เกิดและกลายมาเป็นภาพถ่ายที่อัดลงบนกระดาษแทนแผ่นทองแดง ทำให้ชนชั้นกลางหรือบุคคลทั่วไปได้มีภาพเหมือนของตนจนกลายเป็นที่แพร่หลายทั่วไป จนต่อนั้นก็เกิด Photo Realism คือการเกิดการภาพวาดที่เลียนแบบภาพถ่ายให้เหมือนที่สุด จนมาถึงปัจจุบันก็มีการรับจ้างวาดภาพจากภาพถ่ายให้เหมือนที่สุดด้วยเช่นกันจะมีให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น แถวมาบุญครองชั้นล่าง เป็นต้น คือเกิดการกลับกลายของความนิยมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น???

บรรณานุกรม :
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, “ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ฉบับสมบูรณ์”, ( กรุงเทพฯ : วาดศิลป์ 2547)
Meisel, Louis K , “Photo-Realism” ( New York: Harry N. Abrams, c1980)
http://en.wikipedia.org/wiki/Photorealism
http://en.wikipedia.org/wiki/Daguerreotype

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ : Romantism : Movement and Art in Spain

ประเด็นและความสำคัญของปัญหา
ลัทธิและแนวคิดแบบจินตนิยม(Romantism)ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในตอนต้นศตวรรษที่ 19 และได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรป ซึ่งมีผลอย่างมากต่อความคิดของนักคิด นักเขียน ศิลปิน รวมทั้งเหล่าปัญญาชน อย่างไรก็ตามแม้แนวทางจินตนิยมนี้จะมีความเป็นสากลร่วมกันบางประการ แต่โดยส่วนใหญ่ได้แตกต่างกันไปตามสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของแต่ละดินแดน ที่ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากกระแสความคิดทางปรัชญาและศิลปะแนวทางอื่นๆกก่อนหน้าอันมีโครงสร้างโดยรวมร่วมกันอย่างชัดเจน ทั้งนี้แนวทางการศึกษาลัทธิจินตนิยมและแนวทางศิลปะจึงจำเป็นต้องศึกษาแยกกันไปในแต่ละเขตวัฒนธรรม ตามสภาพแวดล้อมพื้นฐานของสังคมนั้นๆ
ในส่วนของประเทศสเปน แนวทางการสร้างงานในแนวทางจินตนิยมในดินแดนแห่งนี้นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะจิตรกรในแนวทางจินตนิยมที่มีชื่อเสียงที่สุด ฟรานซิสโก เด โกย่า ก็เป็นจิตรกรชาวสเปน ที่ซึ่งผลงานของเขาได้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อจิตรกรยุโรปหลายๆคนในยุคต่อมา การศึกษาถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของลัทธิจินตนิยมในสเปนจะทำให้เราทราบถึงที่มาและลักษณะเฉพาะตัวอันโดดเด่นของศิลปะจินตนิยมแบบสเปน

สมมุติฐาน
การศึกษาถึงผลงานศิลปะ แนวคิด ประวัติศาสตร์ของประเทศสเปนและสุนทรียศาสตร์ในแนวทางจินตนิยมจะสามารถทำให้ทราบถึงปัจจัยในการก่อเกิดรูปแบบเฉพาะตัวและอัตลักษณ์ของจินตนิยมในประเทศสเปน

ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาประวัติความเป็นมาของศิลปะในประเทศสเปน ลัทธิ แนวคิดทางสุนทรียศาสตร์และการสร้างงานในแนวทางจินตนิยม โดยพิจารณาสภาพสังคมของประเทศสเปนในยุคสมัยนั้นจากประวัติศาสตร์เพื่อเข้าใจพื้นฐานสังคมอันเป็นปัจจัยในการก่อเกิดการเคลื่อนไหวตามแนวทางจินตนิยม ประกอบกับศึกษาประวัติ ผลงาน ของศิลปินจินตนิยมชาวสเปนที่สำคัญ รวมถึงศึกษาและเปรียบเทียบแนวคิดและต้นกำเนิดของลัทธิจินตนิยมในประเทศยุโรปอื่นๆในเบื้องต้น


บรรณานุกรม

หนังสือภาษาไทย
ญาณินี [นามแฝง]. ผู้แปล, สเปน. กรุงเทพมหานคร : หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2547.
ธนู แก้วโอภาส. ประวัติศาสตร์ยุโรป. กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ, 2549.
ธีรยุทธ บุญมี. โลก modern & post modern. กรุงเทพมหานคร : สายธาร, 2550.
วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน. สเปน ดินแดนแห่งอารยธรรมสองทวีป. กรุงเทพมหานคร : ผู้จัดการ, 2550
สถาพร ทิพยศักดิ์. วรรณคดีสเปน ร้อยแก้วและร้อยกรอง. กรุงเทพมหานคร : โครงการเผยแพร่ ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
กำจร สุนพงษ์ศรี. ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก 3. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551.

หนังสือภาษาอังกฤษ
Brown, Jonathan. Images and Ideas in Seventeenth-Century Spanish Painting. New Jersey : Princeton University Press, 1978.
Lane, Allen. Romanticism. London : Penguin Books, 1979.
Mann, Richard G.. Spanish panitings of the fifteeth through nineteenth centuries. Washington : National Gallery of Art(U.S.), 1990.
Vaughan, William. Romantic Art. London : Thames and Hudson, Inc., 1978.
Wright, Patricia. Eyewitness art Goya. London : Dorling Kindersley, 1993.

ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
Romanticism and music [Online], Accessed 30 July 2009. Available from http://en.wikipedia.org/wiki/Romanticism#Romanticism_and_music
Romanticism: Introduction [Online]. Accessed 1 August 2009. Available from http://www.spanisharts.com/history/del_neoclasic_romant/i_romanticismo.html
Spanish Romance Literature [Online], Acessed 30 July 2009. Available from http://en.wikipedia.org/wiki/Spanish_Romance_literature
Spanish Romantic Panorama [Online], Acessed 1 August 2009. Available from http://www.spanisharts.com/history/del_neoclasic_romant/i_panorama_espanol_roman.html


Google books [Online book resources]
Flitter, Derek. Spanish Romantic Literary Theory and Critism. Cambridge and New York : Cambridge University Press, 1991.

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อรายงาน

ชื่อรายงาน : “เรียลลิส” ความงามที่เกิดจากชนชั้นแรงงาน

หัวข้อรายงาน :
คริสต์ศตวรรษที่ 19 ในขณะที่ศิลปะแบบนีโอคลาสสิกบอกว่า ความงามของศิลปะในยุคนี้อยู่ที่คุณธรรม ความสง่าผ่าเผย และความเสียสละส่วนตัวเพื่อประเทศชาติ ในขณะที่ศิลปะแบบโรแมนติกบอกว่า ความฝัน อารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบทางศิลปะ เป็นสิ่งที่ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปะและความดีงาม
แต่สำหรับเรียลลิสนั้น ความเป็นศิลปะอยู่ที่การถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่กล่าวถึงอดีต หรือ อนาคต แต่ให้ความสำคัญกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น สามารถจับต้องได้ และการตัดเรื่องจินตนาการเสียให้หมดไป ทำให้ศิลปะแบบเรียลลิสมีความแตกต่างจาก นีโอคลาสสิกและโรแมนติก แบะมีความน่าสนใจตรงที่ชนชั้นล่างสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับงานศิลปะ ทั้งที่ในอดีตได้ถูกตราว่าเป็นงานของชนชั้นสูงเท่านั้น

Main Research Question: การถ่ายทอดงานศิลปะออกมาในรูปของชนชั้นล่างและความเป็นจริงอื่นๆ ของสังคมในขณะนั้น ได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูงว่าเป็นงานศิลปะหรือไม่

บรรณานุกรม

วีรวรรณ มณี. จิตรกรยุโรปในศตวรรษที่ 19. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2528

วีรวรรณ มณี. ภาพทิวทัศน์ในจิตรกรรมตะวันตก. กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2538.

Rosenblum, Robert. 19th-century art / painting by Robert Rosenblum ; sculpture by H.W. Janson. New York: Harry N. Abrams, 1984

-----------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่อรายงาน : พระเจ้ากับธรรมชาติในแนวคิด Romanticism

หัวข้อรายงาน :
จากแนวคิด Romanticism กล่าวถึง ศาสนาในฐานะ Passion ; ความงาม ความรู้สึกเกรงขามต่อธรรมชาติ การมองธรรมชาติกับเรื่องเหนือธรรมชาติ (God) เป็นสิ่งเดียวกัน และการเข้าถึงพระเจ้า ซึ่งแต่ละคนมีวิธีเข้าถึงพระเจ้าที่ต่างกัน
ภาพจิตรกรรมในยุคนี้ หลายครั้งที่แสดงความรุนแรงของธรรมชาติ ดังเช่น Turner, The Shipwreck 1805 c. ภาพของคลื่นยักษ์ที่ซัดเรือหลายลำ ที่ลอยอยู่ในทะเลจนทำให้เรืออับปาง มนุษย์ได้พยายามที่จะเอาชนะพลังมหาศาลของธรรมชาติ แต่มิอาจสามารถต้านทานได้ ภาพนี้เป็นการแสดงออกถึงความน่ากลัวของธรรมชาติ และทำให้นึกถึงแนวคิด Romanticism เกี่ยวกับ การแสดงความรุนแรงของธรรมชาติคือการแสดงสภาวะอารมณ์ของพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าอยู่รอบตัวเรา ในที่นี้ อาจหมายถึง พระเจ้าคือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติก็อยู่รอบตัวเราเช่นกัน
ดังนั้น จึงสงสัยว่า ทำไมธรรมชาติต้องหมายถึงพระเจ้า และทำไมต้องผูกแนวคิดที่ว่า พระเจ้าต้องอยู่ในธรรมชาติ หรือเพื่อให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่รอบตัวมนุษย์ และเหตุผลอีกประการที่สำคัญก็คือ อาจเป็นกลอุบายให้มนุษย์รู้สึกเกรงกลัวการกระทำที่เป็นบาป เพราะพระเจ้าอยู่รอบๆตัวเรานั่นเอง

Main research question :
ทำไมธรรมชาติต้องหมายถึงพระเจ้าและทำไมพระเจ้าต้องอยู่ในธรรมชาติ ?

บรรณานุกรม :
1. Eric shanes, Turner The life and Masterwork, Parkstone Press Ltd, New York, USA 2007.
2. Rosenblum, Robert, 19 th – Century art, Harry N. Abrams, Inc., publishers, New York, 1984.
3. William Vaughan, Romantic art, London : Thames and Hudson, 1978.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ความหมายที่แฝงอยู่บนความงามของภาพ erotic

Topic : คำว่า erotic หรือภาพโป๊นั้น มีมานานหลายศตวรรษแล้วจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งแต่ละยุคสมัยก็มีการสร้างสรรค์ผลงานที่ต่างกันออกไป ณ ที่นี้จะขอยกตัวอย่างมาเพียงสองยุค คือ ศตวรรษที่ 16 และ 19สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความสำคัญของบุคคลในภาพ และภาพพื้นหลังหรือภาพประกอบ เช่น ภาพ “ Venus of Urbino” โดย Titian ใน c.1538 และภาพ “Olympia” วาดโดย Edouard Manet ใน c.1865 ทั้งสองภาพนี้มีการจัดวางองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ต่างคือตัวบุคคล ภาพแรกเป็นเทพ Venus ส่วนภาพที่สองไม่อาจทราบได้ว่าเป็นใคร อาจเป็นโสเภณี?? และภาพ “Le Dejeuner sur l’herbe” วาดโดย Manet เช่นกัน ในปี 1863 ภาพนี้มีเพียงผู้หญิงที่อยู่กลางสวนเท่านั้นที่เปลื้องผ้า ส่วนบุคคลอื่นๆที่อยู่ในภาพก็ไม่ได้มีการเปลื้องผ้าแต่อย่างใด ซึ่งหากเทียบกับภาพ erotic ในช่วงศตวรรษที่ 16 มักจะเป็นเทพเท่านั้นที่เปลื้องผ้า และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นภาพเทพเดี่ยวๆ หรือไม่ก็เป็นเทพคนอื่นที่เกี่ยวข้องและเปลื้องผ้าด้วยเช่นกัน ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าการสร้างภาพ erotic ในศตวรรษที่ 19 นั้น ต้องการสร้างเพื่อสิ่งใด ความงามอย่างเดียวใช่หรือไม่? หรือเป็นการเสียดสีสังคมไปด้วยในเวลาเดียวกัน? ส่วนเทคนิคในการวาดนั้นจะไม่ขอเอ่ยถึง เนื่องจากอาจทำให้หลุด concept ไปจากรายงาน อีกทั้งตัวผู้ศึกษาเองก็ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้

Main research question : ภาพ erotic บอกอะไรกับผู้ชมได้อีกบ้าง นอกจากความงามของเรือนร่าง และการกระตุ้นให้เกิดความเร่าร้อนทางเพศ?

Reference : Peter Webb. The Erotic Arts. London, 1975
Belinda Thomson and Michael Howard. Impressionism. London, 1988

-------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ : จิตรกรรมภาพบุคคลของเรอนัวร์

ถ้าจะกล่าวถึงผลงานของศิลปินอิมเพรชชั่นนิสต์อย่างเรอนัวร์ ก็จะพบได้ทั้งภาพคน หุ่นนิ่ง ดอกไม้ และภาพทิวทัศน์ แต่สิ่งที่โดดเด่นก็คือ จิตรกรรมภาพบุคคล ในงานจิตรกรรมของเรอนัวร์ส่วนใหญ่แม้กระทั่งภาพทิวทัศน์ ก็จะมีบุคคลเป็นจุดโฟกัสของภาพ จากผลงานหลายชิ้นของเขาจะเห็นได้ว่าเขามีความสนใจในการวาดภาพเด็กและหญิงสาวเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นภาพคนเต้นรำ กลุ่มคนที่กำลังพบปะสังสรรค์กัน หรือแม้กระทั่งภาพอีโรติค ที่พบมากในระยะหลังๆ

คำถาม
คำถามหลัก
ทำไมผลงานศิลปะของเรอนัวร์ ส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพหญิงสาวและภาพกลุ่มคนที่กำลังเต้นรำ สังสรรค์กัน ตามสถานที่ต่างๆโดยที่ภาพบุคคลจะถูกจัดเป็นองค์ประกอบหลักของภาพเสมอซึ่งแตกต่างจากศิลปินอิมเพรชชั่นนิสต์คนอื่นๆ เช่น โมเนต์ ปิซาโร ซิสลีย์ ที่มักจะเน้นการวาดภาพทิวทัศน์และทัศนียภาพของสถานที่ต่างๆเป็นหลัก ส่วนบุคคลนั้นเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่งภายในภาพ เพราะเหตุใดเขาถึงชอบเขียนภาพ Portrait หญิงสาว และ ภาพกลุ่มคนที่กำลัง สังสรรค์กัน เขามีสิ่งใดเป็นแรงบันดาลใจ

คำถามย่อย
เพราะเหตุใดเรอนัวร์ถึงได้สนใจเขียนภาพกลางแจ้งและศึกษาปฏิกิริยาของแสงที่ส่องลงมาผ่านเงาของต้นไม้ ใบไม้ มากระทบกับตัวบุคคล ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นแสงเงาที่ตัดกัน ลักษณะแบบนี้ พบเห็นได้ในผลงานของเขาหลายชิ้น เช่น The Swing และ Dancing at the Moulin de la Galette สิ่งใดทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจให้ทำงานในลักษณะนี้

คำถามย่อย
ทำไมผลงานของศิลปินอิมเพรชชั่นนิสต์อย่างเรอนัวร์ ในระยะหลังๆ เช่น ภาพThe Bather กลับมีอิทธิพลของศิลปะแบบนีโอ คลาสสิก ที่มักจะให้ความสำคัญกับการวาดเส้นและรูปทรงที่ชัดเจน รวมถึงส้นขอบรอบนอกขององค์ประกอบต่างๆ ภายในภาพเข้ามาปะปนอยู่ ซึ่งลักษณะเหล่านี้ไม่เป็นที่นิยมกันในศิลปะแบบอิมเพรชชั่นนิสต์


บรรณานุกรม

กิติมา อมรทัต. The Great Impressionist (เรอนัวร์ : ลีลาชีวิตอันรื่นรมย์). พิมพ์ครั้งที่ 1.
กทม. : สำนักพิมพ์คุณพ่อ , 2544.
ดร. จิตติมา อมรพิเชษฐ์กูล. ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ในฝรั่งเศส. กทม. : 2551.
หนึ่งธิดา. ชีวิตและผลงานของเอกศิลปินชาวฝรั่งเศส ออกุส เรอนัวร์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กทม. :
สนพ. พิราบ , 2537.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Photography




ก่อนหน้าที่จะมี “ภาพถ่าย” เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 มีกล้องประเภทต่างๆ ที่ทำหน้าที่ฉายภาพออกมา เช่น กล้องรูเข็ม camera obscura และ camera lucida ซึ่งภาพที่ได้จากกล้องเหล่านี้เป็นเพียงภาพที่ฉายออกมาเท่านั้น

Daguerreotype
Louis Daguerre จิตรกรและศิลปินภาพพิมพ์ได้เริ่มต้นมาค้นหาวิธีที่จะจับภาพที่เขาเห็นจากกล้องคาเมร่า ออบสคูร่าให้อยู่ในรูปของวัตถุที่จับต้องได้ ในปี 1829 เขาเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกับ Nicéphore Niépce เพื่อหาทางสร้างภาพที่คงทนถาวรโดยใช้แสงและกระบวนการทางเคมี ดาแกร์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับภาพขึ้นมาอย่างหนึ่งเรียกว่า daguerreotype ในปี 1839

ดาแกร์ประกาศผลการค้นคว้าต่อ Académie des Sciences และ Académie des Beaux-Arts รัฐบาลฝรั่งเศสซื้อลิขสิทธิ์จากดาแกร์ และได้ประกาศให้กระบวนการสร้างดาแกร์โรไทพ์เป็นของสาธารณะ ผู้ใดจะนำไปใช้ก็ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดสตูดิโอถ่ายภาพดาแกร์โรไทป์จำนวนมาก โดยกลุ่มลูกค้าเป็นชนชั้นกลางที่มาถ่าย "ภาพเหมือน" (portrait)
ในขณะที่พอร์เทรทเป็นหัวข้อที่นิยมมากของช่างภาพดาแกร์โรไทป์ ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักเดินทางและนักโบราณคดีก็ใช้ดาแกร์โรไทป์ในการทำงานเช่นกัน จิตรกรบางคนใช้ดาแกร์โรไทป์ช่วยในการเขียนแบบ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ก็เล็งเห็นศักยภาพของสื่อใหม่นี้ พวกเขาติดกล้องเข้ากับกล้องเทเลสโคปและไมโครสโคปเพื่อบันทึกภาพสิ่งที่เขาส่องดู นักเดินทางก็บันทึกภาพดินแดนที่ห่างไกลกลับมาให้ชาวปารีสได้มีโอกาสเห็น
ดาแกร์โรไทป์เสื่อมความนิยมลงไปใน 1850s จากการเข้ามาของภาพถ่ายที่อัดลงบนแผ่นกระดาษ (paper photograph) และภายใน 1860s ภาพถ่ายก็เป็นที่นิยมจนการผลิตขึ้นถึงระดับอุตสาหกรรม มีการแปรรูปออกไปเป็นโปรดัครูปแบบต่างๆ เช่น อัลบั้ม, การ์ดที่ระลึกที่มี 8 โพสต์ เป็นต้น
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับดาแกร์โรไทป์และภาพถ่าย
1. นวัตกรรมกรรมใหม่ของการสร้างภาพ (image) ที่มีลักษณะเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ (ด้วยกระบวนการทางเคมี) น่าสังเกตว่า ดาแกร์ไม่ได้ประกาศผลการค้นคว้าของเขาต่อโลกศิลปะเท่านั้น แต่ต่อโลกวิทยาศาสตร์ด้วย
2. ภาพเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถไปจ้างจิตรกรมาเขียนภาพเหมือนของจนได้
3. ประเด็นความเหมือน (likeness) แบบที่ภาพถ่ายเสนอทำให้เกิดการนิยมในสื่อชนิดใหม่นี้ต่อประเด็น "ความจริง" ในงานศิลปะ / ภาพถ่าย

ภาพประกอบ
André-Adolphe-Eugène Disdéri, Prince Lobkowitz, 1858, Albumen silver print from glass negative

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

International Exposition


มหกรรมนานาชาติ (International Exposition, World Exposition, World's Fair)


มหกรรมนานาชาติเริ่มมีการจัดขึ้นเมื่อ 1851 ในอังกฤษ เมื่อชาวอังกฤษเชิญนานาชาติมาจัดแสดงผลผลิตของประเทศตัวเองที่คริสตัล พาเลซในลอนดอน จากนั้นก็เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นกันอย่างแพร่หลายทั่วไปในยุโรปและอเมริกา


เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจของชาติต่างๆ ในช่วงเวลานั้น (บริบทของการล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19) จะเห็นได้ว่า มหกรรมนานาชาติที่จัดแสดงเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในโลก (ไม่เฉพาะวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ แต่รวมถึงตัวคนด้วย) ได้ระเบียบโลกอย่างใหม่ (new world order) และสำนึกเกี่ยวกับโลกที่มีตะวันตกเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากตะวันตกมีอำนาจมากกว่า (ในฐานะเจ้าอาณานิคม) “คนอื่น” ก็นอกจากจะแตกต่างออกไปแล้ว ยังด้อยกว่าด้วย


ความเหนือกว่าของตะวันตกและระเบียบโลกอย่างใหม่นี้แสดงออกอย่างเป็นกายภาพผ่านมหกรรมนานาชาติ โครงสร้างของมหกรรมนานาชาติได้จำลองเอาโครงสร้างอำนาจของอาณานิคมด้วย มันคือโลกย่อส่วนที่มีส่วนช่วยทำให้ “ความเป็นอื่น” ของ “คนอื่น” เป็นที่รับรู้ได้มากขึ้น กล่าวคือ ไม่เป็นนามธรรมลอยๆ แต่มองเห็นได้ จับต้องได้ เดินชมได้ เสพได้ เป็นโชว์เคสของการล่าอาณานิคมมหกรรมนานาชาติแสดงความเหนือกว่าของเจ้าอาณานิคมและตัวอาณานิคม มันมีมิติเชิงมานุษยวิทยา ส่วนต่างๆ ของโลกได้รับการสร้างขึ้นใหม่ภายในโครงสร้างของมหกรรม (= จำลองระเบียบโลกอย่างใหม่) มีการนำชนพื้นเมืองมาเป็นพันๆ คนมาอยู่ในหมู่บ้านจำลอง แสดงวิถีชีวิตประจำวันไป นั่นคือ แสดงวิธีชีวิตจริง ให้เป็นโชว์ เช่น Cairo Street ในมหกรรมนานาชาติที่ชิคาโกปี 1893 (World's Columbian Exposition)


Ethnographic category

ลักษณะตามเผ่าพันธุ์, ภาษา, กิริยาท่าทางและขนบธรรมเนียม, ระบบศีลธรรม, อาหาร, การรักษาโรค, เกษตรกรรม, การประมง, การล่าสัตว์, การค้า, ศิลปะและหัตถกรรม, อาวุธและการสงคราม, พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต (การเกิด, การเปลี่ยนวัย (initiation rite), การแต่งงาน, งานศพ), ดนตรี, เพลงและการเต้นรำ, ศาสนาและความเชื่อลึกลับ (magic), ตำนาน, เรื่องพื้นบ้าน และการจัดการทางสังคม


สิ่งเหล่านี้บอกอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (cultural identity) ซึ่งถูกนับให้เป็นอัตลักษณ์ของชาติ (national identity)


หัวข้อเกี่ยวข้อง: Orientalism
ภาพประกอบ Cairo Street, World's Columbian Exposition, Chicago, 1893

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Realism


Realism เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะและวรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่แพร่หลายอยู่ในฝรั่งเศสในช่วง 1840 - 1880 เป้าหมายสำคัญของศิลปินเรียลลิสท์คือ การให้ภาพ / นำเสนอความเป็นจริง (reality) อย่างเป็นภววิสัย (objective) มีความเป็นกลาง และตรงไปตรงมาโดยปราศจากการปรุงแต่งให้สวยงาม


พวกเรียลลิสท์ได้อิทธิพลจากแนวคิด Positivism ซึ่งเชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง / ข้อเท็จจริง (fact) และกฎเกณฑ์ที่จะตัดสินว่าอะไรคือความจริง (reality) นั้น ได้มาจากการเฝ้าสังเกตอย่างถี่ถ้วน (empirical observation) เช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์


ความที่พวกเรียลลิสท์เชื่อในข้อเท็จจริงที่สังเกตรับรู้ได้ มีประสบการณ์ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นนี้เองที่ทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับปัจจุบัน (contemporaneity: สิ่งที่เกิดขึ้น/ดำเนินอยู่ในช่วงเวลานั้น) พวกเขาจึงไม่เขียนภาพอดีตหรืออนาคต แต่เป็นภาพสังคมร่วมสมัย


สำหรับพวกเรียลลิสท์ การไม่ปรุงแต่งให้สวยงาม คือ

1.) การหลุดพ้นจากอคติทางการมองที่ได้รับจากการศึกษา หรือการฝึกฝนทางศิลปะ เพื่อไปสู่สิ่งที่ Castagnary เรียกว่า naïveté of vision

2. ) การแสดงความจริงใจ (sincerity) ต่อเนื้อหา


นอกจากนี้ ศิลปินเรียลลิสท์ยังเปิดไปสู่เนื้อหาที่กว้างขวางออกไปจากเดิม พวกเขาเขียนภาพชนชั้นล่าง (กรรมกร คนงาน ชาวนา ฯลฯ) จึงทำให้งานเรียลลิสท์มีมิติเชิงสังคมมากกว่าศิลปะรูปแบบอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า พวกเรียลลิสท์มองว่า การแสดงภาพชนชั้นล่างก็มีคุณค่าเท่าเทียมกับการเขียนภาพเจ้าชาย (และน่าสนใจกว่าด้วย)



ภาพประกอบ
Courbet, The Stone Breakers, 1849





ร า ย ง า น

โครงสร้างของรายงานที่จะต้องส่งภายในวันที่ 2 สค. ต้องการองค์ประกอบดังนี้

ชื่อรายงาน
หัวข้อรายงาน: เกริ่นที่มาและความสำคัญ อธิบายว่าอยากทำเรื่องอะไร มีประเด็นอะไร ทำไปเพื่ออะไร (สงสัยอยากรู้เรื่อง... อยากเสนอว่า... สันนิษฐานว่า... หรือตั้งคำถาม/วิพากษ์....) ประมาณ 4-6 บรรทัด

main reseach question: คำถามหลักของตัวรายงาน เพื่อไปตอบโจทก์ในส่วนที่ระบุอยู่ในหัวข้อ

sub-questions (ถ้ามี): ประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ (ถ้ามี) แต่ไม่แนะนำให้มี เดี๋ยวจะเยอะเกินไปสำหรับรายงาน 6-8 หน้า เอาแค่ main question พอแล้ว

รายชื่อบรรณานุกรม



ตัวอย่าง
ชื่อรายงาน: ความจริงในจิตรกรรมเรียลลิสท์

หัวข้อรายงาน: ในขณะที่จิตรกรเรียลลิสท์อ้างว่าผลงานของพวกเขานำเสนอความจริง (reality) "ตามที่ตาเห็น" จากข้อเท็จจริง (fact) ผลงานหลายชิ้นกลับไม่เป็นไปตามนั้น เช่น ใน Burial at Ornans ฉากหลังปรากฏกางเขนที่มีพระคริสต์ถูกตรึงอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจุดยืนของพวกเรียลลิสท์ที่บอกว่า จะเขียนเฉพาะภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน และอ้างอิงเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นแล้ว งานชิ้นนี้มีความขัดแย้งกับหลักการของเรียลลิสท์อย่างมาก รายงานชิ้นนี้ต้องการวิพากษ์วาทกรรมของพวกเรียลลิสท์ผ่านการวิเคราะห์จุดขัดแย้งเหล่านี้

main research question: "ความจริง" ในจิตรกรรมเรียลลิสท์เป็นอย่างไรกันแน่

บรรณานุกรม

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Orientalism




* เนื่องจากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุขัดข้อง ทำให้สอนไม่จบ จึงขอใส่เนื้อหาที่ละเอียดลงในนี้ แต่โดยปกติแล้ว บล๊อคนี้จะมีแค่ไอเดียหลักๆ ของศิลปะแต่ละรูปแบบเท่านั้น โปรดเข้าใจด้วยว่า มันจะไม่มีแบบนี้สำหรับสัปดาห์อื่นๆ


Orientalist = anyone who teaches, talks about, researches the Orient. What he or she does is Orientalism.

Orient = the East, Asia อย่างไรก็ตาม ในบริบทที่เราพูดถึงกันนี้ จำกัดอยู่ที่ Near East / Middle East



Orientalism
Edward Said นักวิชาการชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเขียนหนังสือ Orientalism ขึ้นเมื่อปี 1978 หนังสือของซาอิดได้วิพากษ์กระบวนการผลิตสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับตะวันออก ตลอดจนความรับรู้เกี่ยวกับตะวันออกของชาวตะวันตก(Orientalism)ว่าเป็นวาทกรรมตัวหนึ่งที่ไม่แยกขาดจากการล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Orientalism จึงเป็นมายาคติที่แฝงอคติทางชาติพันธุ์ และเกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นอื่น (other) ที่ทั้งอันตรายและน่าหลงใหลไปพร้อมๆ กัน

"The Orient was almost a European invention, and had been since antiquity a place of romance, exotics being, haunting memories and landscape, remarkable experiences."

The Orient is not only adjacent of Europe; it is also the place of Europe’s greatest and richest and oldest colonies, the source of its civilizations and languages, its cultural contestant, and one of its deepest and most recurring images of the Other. In addition, the Orient has helped to define Europe (or the West) as its contrasting image, idea, personality, experience. Yet none of this Orient is merely imaginative. The Orient is an integral part of European material civilization and culture. Orientalism expresses and represents that part culturally and even ideologically as a mode of discourse with supporting institutions, vocabulary, scholarship, imagery, doctrines, even colonial bureaucracies and colonial styles.


ซาอิดได้ย้ำมุมมองนี้ในงานเขียนอีกชิ้น "Cultura, identidad e historia" Letra international, N 48, 1997, p. 4-13

“The East became a synonym of the exotic, feminine and mysterious, of the profound and seminal, in the works of Goethe, Victor Hugo, Lamartine, Nerval, Disraeli, Delacroix, Flaubert, Friedrich Schlegel and dozens and dozens of authors. By orientalizing even more the Orient and the oriental, a deep abyss opened between the would-be cultural identities of the West and East and, at the same time an awareness of one’s own cultural identity was strengthened, its essence extracted to the point that it made the East, with its prodigious despotism, sensuality and fertility, into the Other par excellent. Whether the writer or the musician was inspired by Egypt (Verdi’s Aida) or India (Delibe’s Lakmé), by Japan (Madame Butterfly) or the North of Africa (Flaubert’s Salammbô), there were always thinking of that fabulous East that fulfilled the function of safeguarding Europe’s identity as an observer, appraiser, ruler and judge of the East.”


อาจสรุปอย่างรวบรัดได้ว่า Orientalism เป็นวาทกรรมของ / ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยโลกทัศน์แบบชาวตะวันตก เกี่ยวกับตัวตนของตะวันออก และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับความเป็นตะวันออก ด้้วยความเกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในช่วงล่าอาณานิคม (ซึ่งมีมาก่อนศตวรรษที่ 19 แล้ว) Orientalism จึงแสดงทัศนคติของชาวตะวันตกที่มองตัวเองสูงกว่าชาติอื่นๆ (aka ตะวันออก) เพื่อให้ความชอบธรรมแก่การเข้าครอบครอง และ/หรือ เปลี่ยนแปลงดินแดนอื่น Orientalism จึงไม่ใช่องค์ความรู้ หรือหัวข้อการศึกษาที่เป็นอิสระจากประเด็นเชิงการเมือง

ในแง่นี้ ตะวันออกเป็นสิ่งประดิษฐ์สร้าง The Orient was created
(ในทางกลับกัน ตะวันตก ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเช่นกัน การพูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ตะวันออก และตะวันตก ไม่มีอยู่จริง แต่ต้องการให้เห็นว่า มันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเป็นแค่นามธรรมเท่านั้น แต่มีความเป็นวัตถุที่จับต้องได้อยู่ด้วย)

Orientalism เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นผ่าน narrative ประเภทต่างๆ ทั้งงานเขียนเชิงวิชาการ สารคดี บทกวี นิยาย ภาพถ่าย รวมทั้งศิลปะด้วย ศิลปะจึงไม่ได้เพียงแค่ "สะท้อน" ทัศนคติแบบ Orientalist แต่ "เป็นส่วนหนึ่ง" ของการก่อสร้างตัวตนของวาทกรรมดังกล่าวนี้ พิเศษขึ้นไปอีกคือ ศิลปะ “ให้ภาพ” (visualize)

อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือ Orientalism ของซาอิดจะไม่ได้กล่าวถึงงานศิลปะโดยตรง แต่ข้อวิจารณ์ของซาอิดต่อวรรณกรรมโอเรียนทอลลิสท์ ก็สามารถใช้กับศิลปะได้เช่นกัน

Orientalism ในฐานะ "a mode for defining the presumed cultural inferiority of the Islamic Orient… part of the vast control mechanism of colonialism, designed to justify and perpetuate European dominance"

ต่อไปนี้จะยกตัวอย่างจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ฝรั่งเศสที่แสดงทัศนคติที่ว่า

Jean-Léon Gérôme, The Snake Charmer, late 1860s

นักประวัติศาสตร์ศิลปะ Linda Nochlin ได้วิจารณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นการประมวลภาพอุดมการณ์แบบอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 Nochlin เสนอว่าชื่องานควรจะเป็น The Snake Charmer and his Audience แทนที่จะเป็น The Snake Charmer เท่านั้น เพราะเราถูกกำหนดให้มองทั้งตัวผู้แสดงและผู้ชมที่อยู่ในภาพ เรา-ผู้ชมจริงๆ นอกภาพ- ไม่ได้รับเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ชมในภาพ แต่เป็นผู้มองพวกเขาอีกที ในภาพ เรามองเห็นกลุ่มผู้ชมการแสดงกระจุกตัวกันอยู่หน้ากำแพงที่เต็มไปด้วยลวดลายของกระเบื้องแบบตะวันออก ทั้งหมดในภาพ คือทั้งผู้แสดง และกลุ่มผู้ชมการแสดงเหล่านั้นแปลกแยกจากเรา (ผู้ชมจริงๆ) ทั้งหมดเป็นวัตถุ เป็นภาพเพื่อการจ้องมองของเรา

สิ่งต่างๆ ทั้งหมดในภาพให้ความรู้สึกถึงความลี้ลับ ซึ่งความรู้สึกลึกลับนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยกลยุทธ์ของตัวภาพเองด้วย จิตรกรเลือกที่จะสร้างความลึกลับนี้ด้วยการให้เรามองเห็นแต่ด้านหลังของเด็กผู้ชายที่กำลังแสดงกับงูอยู่เท่านั้น เราไม่ได้เห็นทั้งหมด ไม่ได้เห็นในแบบที่ผู้ชม (ในภาพ)ที่หันหน้ามาทางเราได้เห็น เราไม่ได้เห็นความชัดเจนของเครื่องเพศ ซึ่งจะชี้ชัดลงไปว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย (แม้เราจะ "อนุมาน" ได้จากด้านหลัง)และเราก็ไม่ได้เห็นความน่ากลัวของการแสดงงู “ทั้งหมด” ความลี้ลับในภาพนี้เองที่ signify ความลี้ลับของตะวันออก เป็นความลี้ลับของ ตอ ในอุดมการณ์ของ Orientalism

Nochlin ได้วิเคราะห์ต่อไปว่า มีสิ่งที่ขาดหายไป 4 ประการในภาพ ซึ่งได้สนับสนุนแนวคิดของซาอิดว่า Orientalism (ตลอดจน Orientalist painting) เป็นวาทกรรมของชาวตะวันตก ที่อยากจะเห็น และ/หรือ เชื่อว่า ตะวันออกเป็นในแบบๆ หนึ่งที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่เปิดโอกาสให้ความเป็นจริงในรูปแบบอื่นได้มีโอกาสแสดงตัว (ตะวันออกในแบบที่่ว่าเป็นอย่างไร ดู quote ที่ 1 ด้านบน)

1. ประวัติศาสตร์
Nochlin กล่าวว่า ไม่มี "เวลา" ในภาพของ Gérôme จิตรกรแนะว่าโลกตะวันออกไม่มีการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมล้วนไม่ถูกแตะต้องจากความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ยังเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้ามาของตะวันตก (ฝรั่งเศส)

2. ชาวตะวันตก / คนขาว
ไม่มีภาพชาวตะวันตกอยู่ในตัวภาพ (ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์แทบทั้งหมด) แม้ว่าเรา - ผู้ชม - จะมองเหตุการณ์ในภาพผ่านสายตาชาวตะวันตกอยู่ก็ตาม (มีแต่ชาวตะวันตกเท่านั้นที่มี Orientalist gaze หรือ อีกนัยหนึ่ง tourist gaze สายตาแบบนักท่องเที่ยว ที่จะตื่นตาตื่นใจไปกับ.. เช่น การแสดงหมองู)

3. ตัวตนของศิลปะ
Nochlin เสนอว่า ด้วยทักษะในการเขียนแบบแบบเหมือนจริงของ Gérôme ทำให้ผู้ชมหลงลืมไปว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นงานศิลปะ ไม่ใช่บันทึกเชิงสารคดีที่มีความเป็นภววิสัย (อย่างไรก็ดี งานศิลปะอื่นๆ ที่เล่าเรื่องราวก็ให้ผลกระทบเช่นนี้ คือ เรามักไม่ตระหนักถึงตัวตนของงานศิลปะ และคิดไปว่า ศิลปะ "สะท้อน" ความเป็นจริงอย่างเป็นภววิสัย ซึ่ง ไม่ใช่)ความใส่ใจในรายละเอียดของจิตรกร เช่น ในการเขียนร่องรอยกระเบื้องที่แตกบนกำแพง หรือตัวอักษรอาราบิคบนกำแพงที่ได้รับคำชื่นชมว่า "can be easily read" ทำให้งานของ Gérôme มี "reality effect" (อย่างไรก็ดี จารึกภาษาอาราบิคที่ว่านั้น ในความเป็นจริง unreadable...)

4. การทำงานและการอุตสาหกรรม (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอุตสาหกรรมแบบโรงงาน แต่หมายถึง การทำงานโดยทั่วๆ ไป การเป็นแรงงาน Nochlin ใช้คำ the absence of scenes of work and industrial)
ร่องรอยกระเบื้องแตกบนกำแพงเชื่องโยงกับขนบการเขียนภาพแบบโอเรียนทอลลิสท์อย่างหนึ่งคือ ภาพสถาปัตยกรรมที่ถูกลืม ถูกละทิ่้ง พังแล้วไม่ได้ซ่อม นั้นมีความหมายเชิงการวิจารณ์คอรัปชั่นในสังคมอิสลาม บ่งบอกว่า คนตะวันออก (ชาวอิสลาม)เหล่านี้ ขี้เกียจ เฉยเมย ไม่ใส่ใจกับอะไร (ขนบเช่นนี้พบในงานเขียนแบบโอเรียนทอลลิสท์ด้วยเช่นกัน) ร่องรอยกระเบื้องพังบนกำแพงใน The Snake Charmer จึงให้ภาพว่าคนในภาพ (กลุ่มผู้ชมข้างกำแพง) เป็นพวกขี้เกียจไม่ทำงานทำการ และยังปล่อยให้อาคารทรุดโทรมอีก สิ่งที่ขาดหายไปสิ่งสุดท้ายนี้ไม่เชิงว่ามันเกี่ยวข้องกับการสร้าง "ความลึกลับของตะวันออก" โดยตรง แต่มันให้มุมมองแบบโอเรียนทอลลิสท์อีกประการหนึ่งคือ คนตะวันออกนั้นเป็นพวกป่าเถื่อนไม่ใส่ใจกับอะไร

กล่าวโดยสรุป จิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น ภาพ The Snake Charmer นี้ไม่ได้ "สะท้อน" ความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วของตะวันออก แต่มันผลิตสร้าง "ความจริง" (aka วาทกรรม) และความหมายของตะวันออก
คำของ Nochlin "...in this painting Gérôme is not reflecting a readymade reality but, like all artists, is producing meanings."


สำหรับประเด็นอื่นๆ ของจิตรกรรมโอเรียนทอลลิสท์ เช่น เพศ ศาสนา ความศิวิไลซ์ โปรดดู
Linda Nochlin, "The Imaginary Orient" Art in America, 71, no. 5 (May 1983): 118-131, 187, 189,191

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ป ร ะ ก า ศ

นักศึกษาที่รัก

อย่างที่ได้ประกาศไปแล้วว่า จะไม่มีการเช็คชื่อในห้องอีกต่อไป ดังนั้น จะเข้าหรือไม่เข้า เป็นเรื่องของพวกคุณเอง แต่...

ขอให้เข้าใจตรงกันว่า ในเมื่อเราได้ให้สิทธิในการเลือกกับพวกคุณไปแล้ว พวกคุณก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง


ถ้าตก ห้ามโอดครวญ...

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Romanticism


































นักประวัติศาสตร์ส่วนมากมองโรแมนติคซิสม์ในฐานะความเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านความคิดแบบ Enlightenment นักคิด Enlightenment ให้ความสำคัญกับเหตุผล แต่พวกโรแมนติคให้ความสำคัญกับความรู้สึก จินตนาการ และ intuition
ในศิลปะและวรรณกรรม โรแมนติคซิสม์สนใจหัวข้อที่มาจากอดีต, ชื่นชมในความรู้สึกที่อ่อนไหว, ความเป็นฮีโร่ที่โดดเดี่ยว, ความเคารพในพลังธรรมชาติ, เรื่องราวเหนือธรรมชาติ, จิตวิทยาและวัฒนธรรมที่ห่างไกล (exoticism)

ความหลากหลายเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาของการให้คำจำจัดความโรแมนติคซิสม์ จะระบุได้อย่างไร?


Arthur Lovejoy (1924)
"The word “romantic” has come to mean so many things that, by itself, it means nothing."
"There was a plurality of Romanticism, but no one fundamental Romantic idea.”


Charles Baudelaire (1846)

"Romanticism is precisely situated neither in choice of subject nor exact truth, but in a way of feeling."



KEYWORDS

The Infinite / The Eternal / God / Religion IN NATURE (*พระเจ้า ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงในบริบทของคริสตศาสนาเท่านั้น)
พระเจ้านั้นสามารถพบได้ในจิตใจมนุษย์และในธรรมชาติ (เกี่ยวกับนิยามของพระเจ้าในบริบทของพวกโรแมนติค ดูหมายเหตุในวงเล็บด้านบนอีกครั้ง)
Folklore / Fantasy
Individualism; freedom of will, ceativity, invention, feeling
(- - - > concept of artist as a genious)
Intuition / Unconsciousness
Gothic Revival: Gothic romance, Gothic architectural element, Gothic illustration
Sense / Sensibility
Romantic Nationalism
Human mind; psychology, mental illness (can be seen through facial expression)
Emotion
Sublime
Exoticism / Orientalism


ถึงแม้จะมีรากมาจาก Pietism ของเยอรมันที่ให้ค่า intuition และอารมณ์มากกว่าความนิยมในเหตุผลแบบ enlightenment อุดมการณ์และเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิวัติฝรั่งเศสก็มีส่วนต่อการสร้างหลักการของพวกโรแมนติคด้วยเช่นกัน โรแมนติคซิสม์ยังเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม คนในเมืองหนีชีวิตแบบเมืองไปหาธรรมชาติ หรือไม่ก็วัฒนธรรมห่างไกล พูดให้ชัดค้ือ หนีไปจากความเป็นจริงแบบสมัยใหม่ที่ตนเผชิญอยู่ และเป็นวิธีคิดแบบโรแมนติคนี้เองที่ทำให้เกิดมุมมองเกี่ยวกับศิลปินและปัจเจกบุคคลในฐานะฮีโร่ที่จะมาเปลี่ยนแปลงสังคม มันยังให้ความชอบธรรมแก่จินตนาการของปัจเจกบุคคลในฐานะการแสดงความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ หลุดจากขนบ ของศิลปะแบบเดิมๆ อีกด้วย

โรแมนติคซิสม์เน้นย้ำการแสดงภาพของอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความสยองขวัญ ความกังวลใจ และความรู้สึกที่แรงกล้าในรูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความ sublime ของธรรมชาติ พลังธรรมชาติเป็นพลังที่ไม่เชื่อง ที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ นี่เป็น aesthetics category ใหม่ มันยังยกระดับศิลปะและวรรณกรรมพื้นบ้าน และขยายพรมแดนการทำงานศิลปะไปสู่ความสนใจในวัฒนธรรมที่ห่างไกล

ภาพประกอบ (จากบนลงล่าง)
Antoine-Jean Gros, Napoleon at Eylau, 1807
Eugène Delacroix, Algerian Women in Their Apartment, 1834
John Constable, Salisbury Cathedral from the Meadows, 1831
Théodore Gericault, Woman Suffering from Compulsive Envy, c. 1822
Turner, Snow Storm: Hannibal and His Army Crossing the Alps, 1812
Théodore Gericault, Raft of the Medusa, 1819
Wiliam Blake, The Temptation and Fall of Eve, 1808 ภาพประกอบให้นิยาย Paradise Lost ของ Millton

Neo-Classicism: Noble, Simplicity and Calm Grandeur



“neo” หมายถึง “ใหม่” ความใหม่ในที่นี้ไม่ใช่ความใหม่แบบสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน neo แนะถึงความใหม่ / รูปแบบใหม่ของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วแต่ถูกหลงลืม ละทิ้ง หรือตายไป neo จึงมีความหมายในเชิงฟื้นฟู (revive) และกลับคืนมาอีกครั้ง (regain)


คำ “นีโอคลาสสิค” ถูกใช้เป็นครั้งแรกใน 1881 นักเขียนที่รีวิวงานมาสเตอร์พีซที่นิทรรศการที่ Royal Academy ที่ลอนดอนกล่าวถึงงาน St. John on Patmos ของ Nicolas Poussin ว่า “the neo-classic, if not Italian, mode of design is finely illustrated”


Johann Joachim Winckelmann

"The last and most eminent characteristic of the Greek works is noble, simplicity and calm grandeur beneath the strife and passions in Greek figures.”


"The only way for us to become great, yes, inimitable, if it is possible, is the imitation of the Greeks…" "... what is imitated, if handled with reason, may assume another nature, as it were, and become one's own."

- - - - > การปรับปรุงความไม่สมบูรณ์แบบ (imperfection) ความน่าเกลียด (ugliness) ความผิดสัดส่วน (disproportion) ของธรรมชาติให้ "สมบูรณ์แบบ"



ศิลปะกับศีลธรรม (Art and Moral)

Aristotle’s Poetics:

“The reason of the delight in seeing the picture is that one is at the same time learning—gathering the meaning of things”


แนวคิดของอริสโตเติลได้รับการพัฒนาต่อมาโดย Shaftesburry, Winckelmann และ Diderot จนกลายเป็นหลักการทางสุนทรียศาสตร์ของศิลปะนีโอคลาสสิค Winckelmann วิเคราะห์บทบาทเชิงศีลธรรมของศิลปะที่ว่านี้ในบริบทของงานโบราณ แต่ Diderot ได้ขยายความต่อไปจนกลายเป็นหลักการของศิลปะในสมัยนั้น (ฝรั่งเศส) สำหรับ Diderot เป้าหมายของศิลปะคือการสั่งสอนเชิงศีลธรรม ให้รักในความดี ทำความดี (virtue)


นีโอคลาสสิคในฝรั่งเศสในช่วงปฏิวัติมีลักษณะที่ต่างออกไปจากนีโอคลาสสิคอื่นๆ ในยุโรป เป็นส่วนผสมของประวัติศาสตร์โบราณ (โรมัน) การเมืองและปรัชญาร่วมสมัย และรูปแบบศิลปะคลาสสิค นอกจากนี้ มันยังผูกเอาวิธีคิดแบบชาตินิยมเข้าไปด้วย คือปลุกเร้าให้คนเสียสละต่อประเทศชาติ "ความดี" ในบริบทของศิลปะนีโอคลาสสิคฝรั่งเศสจึงหมายถึง คุณธรรมที่พลเมืองพึงมี (civic virtue) อันได้แก่ความรักชาติ (Patriotism)
ภาพประกอบ:
Jacques-Louis David (and Jean-Germain Drouais), The Oath of the Horatii , 1784




การประเมินผล

1. รายงานเชิงวิเคราะห์ ความยาว 6-8 หน้ากระดาษ (ไม่รวมรูป) ส่งหัวข้อรายงานและรายชื่อบรรณานุกรมทางอีเมล์ภายในวันที่ 2 สค. ส่งรายงานสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน 40 คะแนน
2. take home exam ตอบคำถาม 5 ข้อ (มีคำถามให้เลือก) 50 คะแนน ให้เวลาทำข้อสอบ 1 สัปดาห์
3. การมีส่วนร่วม 10 คะแนน (ในชั้นเรียน, ในบล๊อก)

รวม 100 คะแนน ตัดคะแนนตามเกณฑ์